Powered By Blogger

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

10 สารต้านอนุมูลอิสระ

10 สารต้านอนุมูลอิสระ
          1. สารสกัดจากเมล็ดองุ่นได้รับการขนานนามว่าเป็นสารซุปเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์มานานเนื่องจากคุณสมบัติเด่นในด้านการกำจัดอนุมูลอิสระที่สูงกว่าสารแอนตี้ออกซิแดนท์อื่นๆ โดยสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า และวิตามินอี 50 เท่าทั้งยังคงอยู่ในกระแสเลือดได้นานถึง 72 ชม.สามารถป้องกันและลดการทำลายล้างจากสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายเราตลอดเวลาทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในอันเป็นสาเหตุของความเสื่อมและอ่อนแอของร่างกายโดยรวม โดยเฉพาะระบบหลอดเลือด หัวใจผิวหนัง และตา เมื่อรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นเป็นประจำจะทำให้ได้รับสาร OPCs เข้าไปยับยั้งการเสื่อมสลายของคอลลาเจนใต้ผิวหนังจึงช่วยชะลอการเสื่อมของผิวพรรณไม่ให้แก่ก่อนวัยอย่างตรงจุดปริมาณการใช้วันละ 20-60 มก.
          2. ชาเขียวในชาเขียวประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ที่ทรงพลังหลายชนิด โดยเฉพาะสาร EGCG ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงโดยมีฤทธิ์มากกว่าวิตามินอีถึง 20 เท่ามีผลการวิจัยพบว่าชาเขียวสามารถลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะต่าง ๆ ได้ดีโดยเฉพาะมะเร็งปอด, มะเร็งลำไส้, มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับนอกจากนี้ยังช่วยลดความเป็นพิษจากการสูบบุหรี่ เช่น นิโคติน และน้ำมันทาร์เป็นต้นปริมาณการใช้วันละ 300-1,000 มก.
          3. สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศสเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้ดีอีกชนิดหนึ่งซึ่งนอกจากประโยชน์ในการแก้ปัญหาเรื่องฝ้าด้วยการควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสีในร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่สมดุลไม่ผลิตเม็ดสีออกมาผิดปกติจนเป็นฝ้า, กระ แล้วยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและสุขภาพร่างกายโดยรวมอีกด้วยปริมาณการใช้ วันละ 75 มก.
          4. โคเอ็นไซน์คิวเท็นมีหน้าที่หลักในกระบวนการสร้างพลังงานในระดับเซลล์ เพื่อให้เซลล์ต่าง ๆของร่างกายทำงานได้อย่างปกติ หากร่างกายขาดโคเอ็นไซม์คิวเท็นถึง 75% ก็อาจเสียชีวิตได้ทั้งนี้เซลล์ที่ต้องการพลังงานสูงและมีความต้องการโคเอ็นไซม์คิวเท็นมากเป็นพิเศษได้แก่ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์สมอง เพื่อให้มีความตื่นตัวเพิ่มทักษะในการจดจำและผ่อนคลายจากความตึงเครียดส่วนเซลล์ผิวหนังต้องการโคเอ็นไซม์คิวเท็นเพื่อช่วยฟื้นฟูความสดใสปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.
          5. แนทเชอรัลเบต้าคาโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอนอกจากประโยชน์ในการบำรุงสายตาและผิวพรรณแล้วเบต้าแคโรทีนยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งที่ปอดจากการสูบบุหรี่จัดลดการก่อเซลล์มะเร็งที่ผิวหนังและทำให้ผิวหนังสามารถต้านทานต่อแสงแดดได้นานยิ่งขึ้นเบต้าแคโรทีนจากธรรมชาติที่สกัดได้จากสาหร่าย D.Salina จะเป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนที่เข้มข้นและปลอดภัยกว่าชนิดทั่วไปที่เป็นเคมีสังเคราะห์ปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.
          6. ลูตินเป็นสารธรรมชาติพบได้มากในพืชผักที่มีสีเขียวเข้ม เช่นผักกาดเขียว ใบหยิก ผักปวยเล้งในชีวิตประจำวันนอกจากจะต้องเผชิญกับรังสียูวีในแสงแดดที่กระทบต่อดวงตาโดยตรงแล้วยังต้องเจอกับแสงจ้าจากเครื่องคอมพิวเตอร์และทีวีวันละหลายชั่วโมงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เซลล์ในตาอ่อนแอหรือเสื่อมสภาพและตาบอดได้ซึ่งการรับประทานลูตินจะเป็นสารอาหารที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของจุดรับภาพและจอประสาทตาได้ดีเพราะมีส่วนรวมในการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ ที่สำคัญปริมาณการใช้ วันละ 6-20 มก.
          7. กรดอัลฟ่าไลโปอิคสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาตินี้ทำหน้าที่สำคัญ ๆ หลายอย่างในร่างกายการใช้เป็นอาหารเสริมจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยปรับปรุงกระบวนการเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงานจึงช่วยป้องกันและบรรเทาโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานได้ดีปริมาณการใช้ วันละ 50-200 มก.
          8. สารสกัดจากใบแปะก๊วยฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบแปะก๊วยเป็นผลมาจากสารในกลุ่มฟลาโวนไกลโคไซด์ที่มีอยู่กว่า 20 ชนิดในใบแปะก๊วย ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ทั้งนี้นอกจากคุณสมบัติอันโดดเด่นในการป้องกันความเสื่อมของเซลล์สมองและช่วยบำรุงสุขภาพสมองอย่างมีประสิทธิภาพจนเป็นที่ยอมรับทั่วโลกแล้วนั้นคุณสมบัติในการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตทั่วร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สมองยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันได้อย่างตรงจุดเช่นกันปริมาณการใช้ วันละ 40-80 มก.
          9. วิตามินซีนอกจากประโยชน์ในการเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหวัดและบรรเทาอาการภูมิแพ้แล้ว วิตามินซียังช่วยสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณ คลายความเครียด ความอ่อนเพลียแก้สภาวะการเป็นหมันในผู้ชาย โดยช่วยเพิ่มความแข็งแรง และปริมาณของตัวอสุจิอีกด้วยปริมาณการใช้ วันละ 1,000-4,000 มก.
          10. วิตามินอีช่วยในเรื่องการบำรุงผิวพรรณป้องกันโรคหัวใจและการอุดตันของเส้นเลือดในหัวใจทั้งยังช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆการรับประทานวิตามินอีในระยะยาวยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากและลดอัตราการตายของผู้ชายที่สูบบุหรี่จัดปริมาณการใช้ วันละ 200-400 มก

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อาหารแสลง ห้ามกินเมื่อป่วย....





อาหารแสลง คือ อาหารที่จะทำให้อาการป่วยของโรคนั้นๆ ทรุดหนักขึ้นเมื่อเราทาน อาหารแสลง นั้นเข้าไป ฉะนั้นเมื่อเวลาที่เราเป็นโรคอะไรสักอย่างก็มักจะมีการห้ามทาน อาหารแสลง นั้นๆ ขึ้นมาเพื่อไม่ให้โรคนั้นเป็นหนักขึ้นหรือรุกรามไปมากกว่าที่เป็นอยู่นั้น เองค่ะ และวันนี้เราก็มีคำแนะนำเกี่ยวกับ อาหารแสลงห้ามกินเมื่อป่วย อีกด้วยค่ะ ซึ่ง 10 โรคต่อไปนี้จะห้ามอาหารแสลงอะไรบ้างก็มาดูกันได้เลยค่ะว่าอาหารแสลงของแต่ละ โรคนั้นมีอะไรกันบ้างเอ่ยที่ห้ามกิน


“อาหารแสลง” ห้ามกินเมื่อป่วย

1. เป็นไข้หวัด มีไข้สูง
     ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมากๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก จะทำให้เกิดความร้อนสะสมเปรียบเสมือนอาหารเชื้อเพลิงหรือเป็นการเติมน้ำมัน เข้าไปในกองไฟ


2. โรคกระเพาะ
     ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสมทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและเป็นอาหารที่ย่อยง่าย


3. โรคความดันเลือดสูง
     ควรหลีกเลี่ยงอาหารมันอาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกายและความชื้นก็มีผลก็ ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูงนอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไย ขนุน ทุเรียน


4. โรคตับและถุงน้ำดี
     หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่าตับและถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลง และเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง


5. โรคหัวใจและโรคไต
     ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดเพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำการไหล เวียนเลือดจะ ช้าทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยงเพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงาน และหัวใจก็ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน


6. โรคเบาหวาน
     หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานหรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด


7. นอนไม่หลับ
     หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้ไม่ง่วงนอนหรือนอนไม่หลับสนิท


8. โรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก
     หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทะให้ท้องผูก หลอดเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ


9. ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด
     ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาหารผิวหนังกำเริบ


10. สิวหรือต่อมไขมันอักเสบ
     งดอาหารเผ็ดและมันเพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะ อาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนังขนตามร่างกายทำให้เกิดสิว

10 เคล็ดลับตื่นเช้าอย่างอารมณ์ดี


1. จัดการงานบ้านให้ดีล่วงหน้าตั้งแต่ตอนเย็น เพื่อเตรียมพร้อมรับเช้าวันใหม่ เช่น เตรียมชุดทำงานให้พร้อม เตรียมของที่จำเป็นต้องนำติดตัวไปด้วยเพื่อกันลืม
2. เตรียมตกแต่งห้องด้วยของสวยๆ งามๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งแรกที่ได้เห็นในตอนเช้า ลองหาแจกันดอกไม้ เทียนหอม ภาพวาดสวยๆ มาวางในห้อง
3. จัดเตียงให้อยู่ในที่ที่แสงแดดส่องถึงได้ในตอนเช้า เพราะช่วยให้กลไกในสมองตอบสนองต่อแสง ทำให้กระปรี้กระเปร่า
4. วางโคมไฟไว้ในที่ที่มือเอื้อมไปปิดเปิดถึงจะช่วยตั้งนาฬิกาชีวภาพในร่างกายได้ เพราะแสงจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย ทำให้ตื่นนอนตรงเวลาตามที่ตั้งใจ
5. เลี่ยงความเครียดก่อนจะเข้านอน เช่น ไม่ดูข่าวความรุนแรงก่อนเข้านอน
6. ก่อนนอนใช้เวลาสองสามนาทีเขียนบันทึกประจำวัน โดยเขียนความรู้สึกทุกอย่างที่ทำให้มีความสุขและรู้สึกดีตลอดวันนั้น เรื่องเหล่านี้จะทำให้หลับไปอย่างมีความสุข
7. เข้านอนตามเวลาอันสมควร ไม่นอนดึกจนเกินไป
8. ห้องนอนต้องมืดพอที่จะนอนหลับสนิท สำหรับคนที่มีปัญหาการนอน หรือนอนหลับยาก แสงแม้น้อยนิดก็ทำให้นอนไม่หลับได้
9. ยิ้มทุกครั้งที่ตื่นนอนตอนเช้า เพราะการยิ้มเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอฟิน ซึ่งช่วยให้กายใจผ่อนคลายและมีความสุข
10. ทำกิจกรรมหลังตื่นนอน โดยแบ่งเวลา 10-20 นาที ทำอะไรให้กับตัวเอง เช่น ฝึกโยคะสัก 2-3 ท่า ออกกำลังกายด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ หรือสวดมนต์
อยากตื่นรับเช้าวันใหม่ที่สดใสกว่าเดิม ต้องลองเปลี่ยนมาทำตามเคล็ดลับเหล่านี้ดูค่ะ

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับรักษาสิวในแบบชีวจิต

5 เคล็ดลับสวยใสไร้สิวแบบชีวจิต
 เกร็ดสุขภาพฉบับนี้เรามี 5 เคล็ดลับดีๆ กับการรักษาสิวด้วยตัวคุณเองในแบบชีวจิตมาฝากกันค่ะ
1. ปรับอาหารการกินด้วยสูตรชีวจิต ให้ถูกต้อง ไม่ควร รับประทานแป้งข้าวและของหวานที่ทำจากน้ำตาลทรายขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อกโกแลต รวมทั้งอาหารประเภทมันๆ และของ ทอดทั้งหลาย ควร หันมารับประทานผักและผลไม้ให้มาก เพราะมีวิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน แร่ธาตุโครเมียม และคลอโรฟิลล์ เพื่อช่วยปรับ สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท อาหารทะเล เป็น ต้น เพื่อช่วยลดการอักเสบและการติดเชื้อของสิว นอกจากนี้ยังทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่แทนเซลล์ผิวหนังที่เสีย ไป
2. ใช้ดีท็อกซ์ช่วยกำจัดท็อกซิน เพราะการเป็นสิว ย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีเจ้าท็อกซินหรือพิษเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น การทำดีท็อกซ์ ตามหลักชีวจิต เพื่อช่วยขจัดพิษในร่างกาย หลังจากทำดีท็อกซ์เสร็จ ก็เข้าห้องอบไอน้ำหรือ ซาวน่า เพื่อขับพิษออกทางผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง ค่ะ
3. ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่มีน้ำตาล เช่น ลูกใต้ใบ มะตูม หรืออื่นๆ ตามตำราชีวจิต เพราะน้ำจะเป็นตัวพาของเสียสิ่งสกปรกออกไป และจะได้ ประโยชน์จากสมุนไพรแต่ละชนิดอีกด้วย
4. ออกกำลังกายจนเหงื่อออก ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี และทำให้ต่อมไขมันเปิดและพาหัวสิวให้ละลายง่าย ไม่เกิดสิว แต่ที่สำคัญ อย่าลืม ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งหลังการออกกำลังกาย
5. ทำจิตใจให้สงบ มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส ความผ่อนคลายนี้จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งทำให้เม็ดเลือดขาวใน ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

การนอนอย่างถูกวิธี


ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุด
เพราะหัวใจเต้นสะดวกและอาหารจากกระเพาะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทำให้ไม่คั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานเกินไป และเป็นท่านอนที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ท่านอนตะแคงทั้งตะแคงซ้ายและขวาช่วยลดเสียงกรนได้ ในผู้ที่กรนจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ยาว โคนลิ้นหนา ต่อมทอนซิลโตมาก หรือโพรงจมูกอุดตัน


ท่านอนตะแคงซ้าย
เป็นท่านอนที่ช่วยลดอาการปวดหลังได้พอสมควร แต่ควรกอดหมอนข้างและพาดขาไว้ ข้อเสียคือทำให้หัวใจซึ่งอยู่ด้านซ้ายทำงานลำบากขึ้น และอาหารในกระเพาะที่ยังย่อยไม่หมดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจะคั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดลมจุกเสียดที่บริเวณลิ้นปี่ และอาจรู้สึกชาที่ขาซ้ายหากนอนทับเป็นเวลานาน หรือถ้าหนุนหมอนต่ำเกินไปจะทำให้ปวดต้นคอได้ แก้ไขโดยใช้หมอนสี่เหลี่ยมที่มีความสูงเท่าความกว้างของบ่าซ้ายหนุนนอน หรือใช้ ?หมอนลักยิ้ม? หนุนนอน เนื่องจากมีเนื้อหมอนสองข้างสูง ทำให้ศรีษะและไหล่อยู่ในแนวเดียวกัน

นอนหงาย
โดยปกติแล้วคนทั่วไปนิยมนอนหงาย ถือได้ว่าเป็นท่านอนมาตรฐาน เวลานอนหงายโดยไม่หนุนหมอนหรือใช้หมอนต่ำ ต้นคอจะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว ไม่ปวดคอ แต่ถ้าหนุนหมอนสักสองสามใบ คอจะก้มโน้มมาข้างหน้า ทำให้เกิดอาการปวดคอได้


สำหรับผู้ป่วยที่ควรหลีกเลี่ยงการนอนหงายได้แก่
1.ผู้ป่วยโรคปอดไม่เหมาะที่จะนอนท่านอนหงาย
2.ผู้ป่วยโรคหัวใจ

3.ผู้ที่มีอาการปวดหลัง

นอนคว่ำ (เป็นท่านอนที่ไม่ควรปฎิบัติ)
ท่านอนคว่ำทำให้หายใจติดขัดไม่สะดวก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเต้านมใหญ่หรือสำหรับผู้ชาย การนอนคว่ำก็อาจทำให้อวัยวะเพศถูกทับอยู่ตลอดเวลา จนเกิดอาการชาของอวัยวะเพศได้ การนอนคว่ำยังทำให้ปวดต้นคอ เนื่องจากต้องเงยมาข้างหลัง หรือบิดหมุนไปข้างซ้ายหรือขวานานเกินไป ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำ ควรหาหมอนรองใต้ทรวงอก โดยเฉพาะถ้าต้องการอ่านหนังสือในท่านอนคว่ำ ทั้งนี้เพื่อช่วยไม่ให้เมื่อยกล้ามเนื้อคอ และไม่มีอาการปวดคอ นอกจากนี้ ความเชื่อแต่โบราณที่เคยเข้าใจว่า ทารกควรให้นอนคว่ำรูปหัวจะทุยสวย ไม่แบน แต่ปัจจุบันพบว่าจริงๆ แล้วอาจเกิดผลเสียได้ ทารกมีโอกาสเสียชีวิตเนื่องจากหายใจไม่ออกจากการที่จมูกหรือปากถูกทับไว้

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นมวัว.....มัจจุราชเงียบ

ใครๆ ก็แนะนำให้ดื่มนม นมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นความจริงที่สำหรับคนเราในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะตอนนั้นข้าวของทุกอย่างแพงหมด เพราะขาดแคลน คนที่มีเงินเท่านั้นจึงจะได้กินดีอยู่ดี ได้รับโปรตีนมากกว่า ทำให้มีสุขภาพดีกว่าคนที่ขาดอาหาร ขาดโปรตีน
แต่ในสมัยนี้มันเปลียนไปแล้ว เพราะคนส่วนมากจะเกิดภาวะการบริโภคเกินซะมากกว่า และที่สำคัญโปรตีนที่คนส่วนใหญ่ได้มา ส่วนหนึ่งก็มาจากการดื่มนมนั่นเอง ในนมมีอะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทั้งที่ในนม มีไขมัน โปรตีน และแคลเซียม ไขมันในนมเป็นไขมันจากสัตว์ ซึ่งอุดมไปด้วยโคเลสเตอรอล เป็นไขมันอิ่มตัว เราอุตส่าห์หนีน้ำมันหมู แล้วยังมากินนมเอาโคเลสเตอรอลเข้าไปอีกหรือ คนที่วิจัยเรื่องนี้ ก็คือ The Milk Industry Foundation บอกว่า คนกินนมแล้วเสี่ยงต่อโรคอ้วน บริษัทนมจึงแก้ปัญหาด้วยการทำนมพร่องไขมัน ซึ่งก็ยังมีไขมันเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง

คุณประโยชน์ดี ๆ...จากนมถั่วเหลือง

คุณประโยชน์ดี ๆ...จากนมถั่วเหลือง
          พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ชะลอวัยประจำโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เปิดเผยถึงคุณสมบัติของน้ำนมถั่วเหลือง ในการช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจว่า องค์การอาหารและยา สมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกา ให้การยอมรับว่า อาหารและเครื่องดื่มจากถั่วเหลืองเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ เพราะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ ด้วยเหตุผลสำคัญสองประการคือ
          1.ถั่วเหลืองอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว และปราศจากคอเลสเตอรอล
          2.โปรตีนในถั่วเหลืองยังทำหน้าที่โดยตรงในการลดระดับคอเลสเตอรอลรวม และลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีกับสุขภาพ หรือ LDL Cholesterol และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ตลอดจนยับยั้งการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจ
          นอกจากนี้ ในนมถั่วเหลืองจะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า "ไอโซเฟลโวน" ในปริมาณที่สูง ซึ่งสารอาหารนี้มีคุณสมบัติช่วยบำรุงกระดูกและการช่วยชะลอวัย ในงานวิจัยจาก Molecular Nutrition & Food Research ปี พ.ศ. 2554 ค้นพบว่า ไอโซเฟลโวนจากถั่วเหลือง มีคุณสมบัติป้องกันและต้านเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มมะเร็งเต้านม รวมทั้งมะเร็งต่อมลูกหมาก เนื่องจากในน้ำนมถั่วเหลืองนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินอี รวมทั้งคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้น จึงเชื่อว่าสามารถต้านมะเร็งไปได้ในตัวเช่นกัน
          ส่วนสารไฟโตเอสโตรเจน (สารที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง หรือฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยบรรเทาอาการวัยทองในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้) ในนมถั่วเหลืองยังเป็นตัวป้องกันการทำงานที่ไปกระตุ้นมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าการดื่มน้ำนมถั่วเหลืองวันละ 2 กล่องทุกวันนั้น นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงได้ตั้งแต่ภายในแล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันและต้านเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกทางหนึ่ง
          พร้อมกันนี้คุณหมอแนะนำว่า การดื่มน้ำนมถั่วเหลืองนั้นสามารถดื่มได้ทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ขณะเดียวกันก็ไม่จำกัดอายุผู้ดื่ม แม้ว่าจะเป็นทารกแรกเกิดที่มีอาการแพ้นมวัว ก็สามารถเลือกรับประทานนมถั่วเหลืองได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามควรดื่มให้อยู่ในปริมาณที่เพียงพอ พูดง่าย ๆ ว่าต้องไม่มากหรือน้อยเกินไป หรือดื่มเพียง 2 กล่องต่อ 1 วัน จึงจะส่งผลดีต่อสุขภาพ
          ท้ายนี้ คุณหมอกล่าวถึงการเลือกดื่มนมถั่วเหลืองที่อยู่ในกล่องสำเร็จรูป กับน้ำเต้าหู้ที่เราผลิตขึ้นเองว่า ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล เพราะคนส่วนใหญ่มีการดำเนินชีวิตที่ค่อนข้างเร่งรีบ หากสามารถทำน้ำเต้าหู้รับประทานเองได้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องแน่ใจว่าจะไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย และที่สำคัญต้องแน่ใจว่าสามารถคงคุณค่าของสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำนมถั่วเหลืองไว้ได้ครบถ้วน

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มันเทศวันละหัว ก็หัวเราะได้

มันเทศวันละหัว ก็หัวเราะได้

ตัวช่วยที่ทำให้เราหัวเราะง่ายขึ้นคือ พืชหัวรสชาติหวานมันอย่างมันเทศ เพราะมันเทศมีวิตามินบี 6 จำนวนมาก ซึ่งช่วยในการทำงานของสมอง ป้องกันอาการทางประสาท ความคิดสับสน นอนไม่หลับ และอาการซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี
เมื่อสมองทำงานได้เป็นปกติ ส่งผลให้จิตใจปลอดโปร่งสดใส ยิ้มง่าย หัวเราะได้
หาซื้อง่ายและราคาแสนถูก อย่างนี้ต้องรีบหาซื้อมากินนะคะ
Tips
หลากวิธีปรุงมันเทศให้ถูกปาก
• มันเทศบดน้ำผึ้ง : มันเทศนึ่งทั้งหัว ปลอกเปลือกแล้วบดใส่ถ้วย ราดน้ำผึ้ง เป็นของหวานเพื่อสุขภาพ
• มันเทศอบกรอบ : ฝานมันเทศทั้งเปลือกเป็นแผ่นบางๆ พรมน้ำมันมะกอก อบด้วยความร้อน 400 องศาฟาเรนไฮต์ จนเหลืองกรอบ กินเป็นของว่าง
• สลัดมันเทศ : นึ่งมันเทศให้สุก หั่นเป็นชิ้นใส่ถ้วยสลัด เติมหอมหัวใหญ่ซอย และผักสลัดตามชอบ ราดน้ำมันมะกอก ปรุงรสด้วยผงกระหรี่ และเกลือ