Powered By Blogger

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อาหารชีวจิตลดอ้วนได้

  

    น้ำหนักเกิน...สุขภาพแย่
    เมื่อก่อน....ตั้งแต่เล็กจนโต ผมกินทุอย่าง ไม่ว่าจะเป็น อาหารฟาสต์ฟูด ข้าวราดแกง ขนมขบเคี้ยว หรือขนมหวานนานาชนิด และยังชอบสรรหาของอร่อยอื่นๆ กินอีก
    แล้วถ้าถามถึงการออกกำลังกายล่ะก็...ผมไม่เคยแตะเลย แม้ว่าตรงข้ามบ้านจะเป็นสวนสาธารณะที่มีคนวิ่งจ็อกกิ้งตลอดเวลาก็ตาม
    พอเรียนจบปริญญาตรีผมก็เริ่มอ้วน หนักถึง 75 กิโลกรัม ต่อมาอีกเพียงไม่กี่ปี น้ำหนักตัวของผมก็พุ่งถึง 108 กิโลกรัม     แรกๆ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับการเป็นคนอ้วน เพราะมีความสุขกับการกิน จนกระทั่งเริ่มเป็นหวัดบ่อย ระบบขับถ่ายมีปัญหา ปวดหลังโดยไม่ทราบสาเหตุ และปวดข้อเข่าขณะเดิน
    พอไปตรวจ หมอก็บอกว่า “ต้องลดน้ำหนัก” โดยเปรียบเทียบให้ฟังว่า ความอ้วนของผมเหมือนสะพายเป้ใบใหญ่ไว้ที่หน้าท้อง ร่างกายแบกรับน้ำหนักมากขนาดนี้ อาการปวดต่างๆ จะไม่เกิดขึ้นได้อย่างไร
    ผมยังไม่เชื่อหมอในทันที และบอกหมอว่า “ให้ไปตายดีกว่ามาลดน้ำหนัก” จนอาการปวดหลังทำให้ผมรู้สึกทรมานขึ้นเรื่อยๆ และทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
    หนทางเดียวที่ต้องทำ คือลดน้ำหนักเท่านั้น!

    ลองผิดลองถูก
    ผมไม่รู้จะเริ่มต้นลดน้ำหนักอย่างไร จึงคิดว่าการอดน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
    เลยงดกินแป้ง อย่างข้าว และขนมปัง เวลากินอาหารแต่ละมื้อก็กินแต่กับข้าว ทำแบบนี้นานหกเดือน น้ำหนักลดลงเหลือ 99 กิโลกรัม
    ผมดีใจมาก นั่นหมายความว่า ผมชนะการแข่งลดน้ำหนักกับเพื่อนร่วมงาน จึงได้เงินจากหัวหน้าเป็นรางวัล 1,000 บาท
    จากนั้นก็นำเงินไปเลี้ยงฉลองปีใหม่กับเพื่อนๆ หาของอร่อยที่อดมานานกินเต็มที่ น้ำหนักดีดกลับขึ้นมาเป็น 110 กิโลกรัม และต้องกลับมาใส่กางเกงเอว 43 อีกครั้ง
    ผมเครียดมาก เลยลองไปเข้าคอร์สลดน้ำหนักตามสถาบันต่างๆ ซึ่งใช้วิธี ตีละลายไขมัน หมดเงินไป 10,000 บาท แต่น้ำหนักลดลงแค่ 2 กิโลกรัมเท่านั้น
    สุดท้ายผมก็แก้กลุ้มด้วยการลองหาผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนต่างๆ มาลองกิน ปรากฏว่าเป็นยาใจที่ดี คือกินแล้วรู้สึกไปเองว่าผอมลง

    ออกกำลังกายดีกว่า
    สุดท้ายผมก็ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย
    เผอิญมีศูนย์ฟิตเนสเปิดใหม่ ผมเลยสมัครเป็นสมาชิกรายปี แล้วออกกำลังกายอย่างจริงจัง เริ่มจากวิ่งบนลู่วิ่ง แต่เกิดอาการปวดขามาก เทรนเนอร์จึงแนะนำว่าให้เปลี่ยนมาเล่นเครื่องปั่นจักรยานแทน ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่น้ำหนักตัวเยอะ

    เริ่มกินอาหารชีวจิต
    เมื่ออ่านหนังสือที่มีความรู้ทางโภชนาการหลายเล่ม ก็พบว่าการรู้จักเลือกกินอาหารที่ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ เป็นเรื่องจำเป็น
    เพื่อนของผมคนหนึ่งเล่าว่าต้มน้ำอาร์ซีให้แม่ที่ป่วยดื่มเป็นประจำแล้วทำให้อาการดีขึ้น ผมจึงคิดว่าตัวเองน่าจะลองทำบ้าง พอลองกินก็ชอบ และถูกใจตรงที่ได้กินธัญพืช (ของโปรด) ถึง  9 ชนิด
    ทุกเช้าผมจึงต้มน้ำอาร์ซีไปดื่มที่ทำงาน จากนั้นก็นำข้าวที่เหลือมาหุงไว้กินมื้อกลางวัน (โชคดีที่ทำงานมีห้องครัว) และต้มผักแบบง่ายๆ โดยหั่นเป็นชิ้นเติมน้ำแล้วนำเข้าไมโครเวป เพียง 5 นาที ก็นำมากินได้กับกับข้าวที่ซื้อมาได้เลย
    ด้วยความชื่นชอบน้ำและข้าวอาร์ซี ทำให้อยากกินอาหารชีวจิต ผมคิดว่าตัวเองน่าจะกินได้เพราะมีประโยชน์และช่วยเรื่องระบบเผาผลาญได้ดี
    แต่ผมก็ยังไม่ได้กินอาหารชีวจิตแบบร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ ยังคงกินไข่ และเนื้อไก่ที่ไม่ติดไขมันบ้างในบางวัน
คงต้องค่อยๆ ปรับไปเรื่อยๆ ตามประสาชีวจิตมือใหม่แหละครับ

    กินให้ง่ายเข้าไว้
    ผมเป็นคนกินง่าย และไม่ชอบกินอะไรแบบบีบบังคับตัวเองมากเกินไป จึงคิดว่าวิธีนี้น่าจะดี และเหมาะกับตัวเอง
    มื้อเช้า ผมจะทำแซนวิชขนมปังโฮลวีต และสาหร่ายทะเลอบกรอบ กินกับนมถั่วเหลือง
    มื้อกลางวัน เมนูของผมค่อนข้างหลากหลาย บางวันก็เป็นข้าวอาร์ซีกับปลาแซลมอนย่าง ผักลวก และปลาร้าบองผัด บางวันก็เป็นสลัดผักราดน้ำจิ้มสุกี้ (ที่หาได้ตามร้านสะดวกซื้อ) กินกับปลาแมคคอเรล และบางวันก็เป็นส้มตำทะเลไข่ต้ม
    ของว่าง ก่อนไปออกกำลังกายตอนเย็น จะรู้สึกหิวเล็กน้อย ผมจึงคิดเมนูของว่างแบบง่ายๆ เช่น มะละกอหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ราดด้วยโยเกิร์ตรสธรรมชาติ แก้วมังกรกับเชอร์รี่แช่อิ่มราดด้วยโยเกิร์ตกับน้ำแอบเปิ้ลไซเดอร์ และแครกเกอร์โฮลวีตกับนมเปรี้ยวไขมันต่ำ
    มื้อเย็น ผมไม่ค่อยเน้นกินมาก บางวันก็กินผลไม้หลายๆ ชนิด และบางวันก็กินลูกพรุน 5 เม็ด และดื่มน้ำตามเยอะๆ ก็อิ่มท้องแล้ว

    อยากสุขภาพดีต้องกินแบบผม
    หลังจากกินอาหารตามแนวชีวจิต (เน้นกินอาหารเป็นยา) และออกกำลังกายเป็นประจำ ผมก็ไม่ป่วยไม่ไข้เลย ระบบขับถ่ายดีเป็นปกติ และน้ำหนักลงเหลือเพียง 82 กิโลกรัม หายปวดหลังเป็นปลิดทิ้ง
    อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ผมจะลดน้ำหนักลงให้เหลือ 80 กิโลกรัม และก่อนปี 2554 จะต้องลดเหลือ 70 กิโลกรัมครับ
    ตอนนี้เลยใส่ใจกินอาหารชีวจิตเคร่งครัดมากขึ้น แต่ยังคงถือคติกินให้ง่ายเข้าไว้เหมือนเดิม วันไหนมีประชุมต้องกินอาหารที่ที่ทำงานเตรียมให้ อย่างข้าวน้ำพริกลงเรือ ผมก็จะเทข้าวอาร์ซีผสมลงไปด้วย
    เกือบทุกวัน หลังออกกำลังกายเสร็จ (21.30 น.) ผมจะแวะซุปเปอร์มาเก็ตซื้อของโปรด เช่น บล็อกโคลี่ แครอท ผักโขม และปลาจิ้งจ้าง มาไว้ทำข้าวชุดเบนโตะแสนอร่อยได้สุขภาพกิน พร้อมลองทำเมนูใหม่ๆ ตามคอลัมน์ “ครัวชีวจิต” ด้วยนะครับ ล่าสุดผมลองทำสลัดปูอัดแล้ว อร่อยจริงๆ
    ผมคิดว่าอาหารการกินเป็นเรื่องสำคัญมาก กินอย่างไรก็ย่อมได้อย่างนั้น กินอาหารชีวจิตแล้วดีต่อสุขภาพแถมน้ำหนักยังลดลงเรื่อยๆ อีกด้วย
    ลดความอ้วนแบบไม่อดใครล่ะจะไม่ชอบ ขอให้ทุกคนโชคดีนะครับ


 โดย คุณธนาวุฒิ หงดิษฐาราม ชื่อเล่นว่าต๋ง อายุ 29 ปี

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

*** 'ความงามสำหรับผิวหน้า' ***


ในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึง 7% แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างมะกรูด น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม และการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ทว่าเพิ่งได้ทราบเมื่อไม่ช้านานมานี้ (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 19) ก็คือ การป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเคยเป็นปัญหาของนักเดินเรือมาช้านาน ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุที่มะนาวสามารถช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด เพราะในมะนาวมีไวตามินซีเป็นปริมาณมาก

สรรพคุณทางยา
มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค ไวตามินซี จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอ และซี ทั้งยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาวอีกด้วย
มะนาวมีประโยชน์ใช้เป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ แก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม นอกจากนี้ยังช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้อาเจียน เมาเหล้า ขจัดคราบบุหรี่ บำรุงตา บำรุงผิว เป็นต้น
สูตรผสม : ลดสีเข้มของกระบนใบหน้า
ดินสอพอง 4-5 เม็ด
มะนาว 2 ซีก
วิธีผสม
นำดินสอพองผสมกับน้ำมะนาวขยี้รวมกัน หากข้นเกินไป ให้เติมมะนาวลงไปอีกนิด เมื่อผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันแล้วจะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว ใช้สำหรับนำมาพอกหน้าที่สะอาดแล้ว ก่อนเข้านอนพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกผิวหน้านวลเนียน ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงเดือน จะสังเกตเห็นว่าผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อทำได้ประมาณ 3 เดือนแล้วก็ให้ทำต่อไป เพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็พอ เพื่อเป็นการรักษาความงามของผิวหน้า ให้คงอยู่ตลอดไป

อาหารต้านตีนกาบนใบหน้า



รอยย่นบนใบหน้าเป็นสัญญาณความร่วงโรย หรือความแก่ชรานั่นเอง มีอาหารหลายชนิดช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของใบหน้าได้ ดังนี้
1.ซาร์ดีน เป็นปลาน้ำเย็นที่เต็มไปด้วยกรดโอเมก้า – 3 โปรตีน และแคลเซียม ซาร์ดีน 3 ออนซ์ให้แคลเซียมเท่ากับนม 1 แก้ว (300 มิลลิกรัม) มีเกร็ดเล่าว่า สมัยศตวรรษที่ 19 พระเจ้านโปเลียนมหาราชรับสั่งให้ถนอมอาหาร จุดกำเนิดของปลาซาร์ดีนในน้ำมันและซอสมะเขือเทศเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคนั้น
2. น้ำมันมะกอก สกัดจากผลไม้ชนิดหนึ่ง มีอัตราไขมันอิ่มตัวต่ำ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายควรเลือกใช้ชนิด Extra Virgin เพราะมีความบริสุทธิ์มากที่สุด และยังมากไปด้วยสารแอนติออกซิแดนต์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
3.แซลมอน มีกรดไขมันโอเมก้า – 3 โปรตีน และวิตามินเอ จำเป็นสำหรับสมองและการทำงานของหัวใจ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเกลือแร่สำคัญอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ซีลีเนียม และสังกะสี หากกินแซลมอนร่วมกับผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวานได้
4.น้ำผึ้ง มีหลายร้อยชนิดในโลกนี้ สีและกลิ่นจะต่างกันตามชนิดของเกสรดอกไม้ นอกจากเปี่ยมด้วยสารอาหารชั้นเลิศ ยังมีสรรพคุณเยียวยาอาการติดเชื้อของแผล รวมทั้งช่วยเก็บความชุ่มชื้นและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
5.โยเกิร์ต เป็นอาหารเก่าแก่ที่สุดในโลกอีกชนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 10,000 ปี สันนิษฐานว่าต้นตำรับคือชาวตุรกีหรืออิหร่าน โยเกิร์ตถ้วยแรกเกิดขึ้นอย่างบังเอิญ จากการเก็บนมไว้ในถุงหนังแพะ ต่อมาได้รับการยอมรับว่า ช่วยเยียวยาอาการที่เกิดกับระบบย่อยอาหาร ช่วยล้างพิษ และทำให้อายุยืน

อาหารทั้ง 5 ชนิดต้องมีสักอย่างหรอกน่าที่ถูกปากคุณบ้างหล่ะนะจ้า…

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การกินเพื่อสุขภาพ

การกินก็ทำให้สุขภาพดีได้ วันนี้มีเคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพมาฝาก...

- กินอาหารเช้า
การกินอาหารเช้า จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น
- เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร
ลองเปลี่ยนไปใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันดอกทานตะวันปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิม ๆ ที่เคยใช้ เพราะน้ำมันทั้งสองชนิดนี้ทำให้ไม่มีไขมันในเส้นเลือด
- ดื่มน้ำให้มากขึ้น
ควรดื่มน้ำวันละประมาณ 8-10 แก้วเพื่อเป็นการหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
- เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก
ควรกินปลาตัวเล็ก เต้าหู้ หรือผักใบเขียว เพราะอาหารประเภทนี้มีแคลเซียมสูง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก
- เลิกกินขนมขบเคี้ยว
เพราะขนมเหล่านี้มีไขมันและน้ำตาลสูง ซึ่งจะไปทำลายสุขภาพ ถ้าอยากกินขนมขบเคี้ยว ลองหันมากินผลไม้แทนจะดีกว่าเพราะมีวิตามินและไฟเบอร์ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า
- กินธัญพืชและข้าวกล้อง
เมล็ดทานตะวัน ข้างฟ่าง ลูกเดือย ข้าวกล้อง รวมทั้งเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ สามารถลดคอเลสเตอรอลและควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
- เปลี่ยนชนิดของผักผลไม้
พยามกินผักผลไม้ต่าง ๆ ให้หลากสีอย่ายึดติดอยู่กับการกินเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะพืชต่างสีกันสารอาหารก็จะต่างชนิดกัน
- หันมากินปลากันดีกว่า
เพราะในเนื้อปลาจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีนที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และยังช่วยบำรุงเซลล์สมองที่สำคัญยังมีไขมันน้อย
- กินถั่วเป็นประจำ
ในถั่วมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ๆ อยู่หลายชนิด ดังนั้นควรที่กินถั่วอย่างสม่ำเสมอ

ถ้าอยากมีสุขภาพดี ลองมาเปลี่ยนวิธีการกินเสียใหม่ เพื่อสุขภาพที่

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การดื่มน้ำรักษาโรค

การดื่มน้ำรักษาโรค
วารสารทางการแพทย์บอกว่าเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ความเข้มของโลหิตยังสูงและมีผลต่อระบบ ความดันโลหิตในร่างกาย แพทย์แนะนำว่าทันทีที่ตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีหนึ่งแก้ว เพื่อลดความเข้มของโลหิต พวกเราลองดูละกัน อีกอย่างที่พบมาก็คือ ท่านพุทธทาสก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

เมื่อเร็วๆ นี้มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์
นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำน้ำหนักตัวของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำอันที่จริงน้ำสามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้

นายแพทย์แนะนำบ่อยๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุกๆ วัน
วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผลดีตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้าไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว) หรือน้ำหนักของน้ำ1.26 ก.ก.เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียว จะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อยหลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อยๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ทุกเช้าควรปฏิบัติดื่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลังกาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัย

ในระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ส่งไปให้เพื่อนฝูง เพื่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ควรจะเผยแพร่ให้มากขึ้น
ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลอง" ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอนเนื่องจากทำให้ลำไส้ใหญ่ผลิตโลหิตใหม่มากขึ้น ซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ดูดธาตุอาหารต่างๆ ผลิตให้เป็น
เม็ดโลหิต เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจางมีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายาก ลำไส้ของใหญ่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่างๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็นโลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น
โรคต่างๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน มหาวิทยาลัยตามมณฑลต่างๆ ในประเทศจีนได้ผ่านการทดลองและประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคสามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้
คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาท ความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยวโรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็น ปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยื่อสมองอักเสบ โรคตับ
โรคไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิด โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่างๆ ตาออกเลือด สตรีประจำเดือนไม่ปกติ ระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคผิวหนังต่างๆ

ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มมาแล้ว
1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่า ท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20ปีกระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปีได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน รักษาฉีดยา รับประทานยา ไม่ได้ผล
ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลองดื่มน้ำสุกอย่างนี้ตื่นแต่เช้าหน้าไม่ล้าง ปากไม่บ้วน ดื่มน้ำสุก 5 แก้วทุกๆ วัน อย่าให้ขาดตอน และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอน นายแพทย์สั่งเสร็จก็กลับไปโดยไม่ให้ยาไปกินวันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียว ในหนึ่งชั่วโมงปัสสาวะ
3 ครั้ง หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้วๆมาวันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีกถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มากต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 ก.ก. เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฏิบัติดื่มน้ำมายังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น
2 เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน ไม่นานเยื่อสมองที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว 120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ โรคประสาท โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำนวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทงแบบหมอจีนก็ไม่หาย แต่เวลานี้หายไปหมดแล้วจากการดื่มน้ำ


3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้ผลิตโลหิตขึ้น จนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่างๆ จะต้องมาจากอาหารอย่างแน่นอน เมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมากกลายเป็น
ของเหลว เมื่อลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่างๆ เสร็จก็จะส่งไปสู่ลำไส้ออกของที่ทวารหนักซึ่งเป็นของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกาย

4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือนเริ่มเห็นผล กระเพาะบิด 3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล เข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย ดื่มน้ำ 2 เดือน เห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่ โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้นเป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต

ผู้ที่ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด
หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อนเพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมงไม่ควรดื่มอีก ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ล ผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้หรือออกกำลังสัก 20นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดให้มากๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาด ดื่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง จะ
ปัสสาวะ 3 ครั้งติดๆ กัน แต่ต่อไป 3 - 4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติภายใน 7- 8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครั้งเดียว นับแค่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่หมดหวังแล้วจะรอดตายด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ นี้จึงเขียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน ขอให้ทุกท่านจงปราศจากการไข้และป่วยต่างๆ

 


เกร็ดความรู้ชีวจิต

"ชีวจิต" ครั้งใหม่ บำบัดด้วย "5 กฎใหญ่-เล็ก"
"ชีวจิต" ครั้งใหม่ บำบัดด้วย "5 กฎใหญ่-เล็ก"
22 เมษายน 2550 21:06 น.

"หมอที่เก่งที่สุดในโลกนั้น ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก ตัวคุณเองนั่นแหละคือหมอที่เก่งที่สุดในโลก แต่ก่อนจะเก่งได้ต้องรู้จักตัวเอง

 หมั่นศึกษาตัวเอง และคอยสังเกตว่าเวลามีอาการผิดปกติบางอย่างในตัวคุณนั้นเป็นเพราะอะไร อยากให้คุณๆ รู้ว่าเรื่องของสุขภาพและการแพทย์เป็นเรื่องธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันเรานี่เอง" นี่คือคำบอกเล่าของ ดร.สาทิส อินทรกำแหง เจ้าของรางวัลนราธิป ปี 2549 ผู้บุกเบิกเส้นทางของแนวคิดแบบชีวจิต และมีผลงานเขียนออกมาเล่มแล้ว เล่มเล่า

 ด้วยโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้กับคนเราเพียงแค่ปลายช้อนตักเข้าปาก โรคภัยต่างๆ จึงไล่เรียงให้ ดร.สาทิสบอกเล่าถึงแนวทางแก้ไขไว้หลายต่อหลายครั้ง ในงานเปิดตัวหนังสือ "ปั้นชีวิตใหม่ด้วย ชีวจิต เล่ม 4" ที่อมรินทร์คอร์เปอเรทปาร์ค เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดร.สาทิส เผยเคล็ดลับด้วยว่า คนเราจะดำเนินชีวิตให้สดใสแข็งแรงได้อย่างไร ในหัวข้อ "ปั้นชีวิตใหม่กับกฎ 5 เล็ก 5 ใหญ่ หัวใจชีวจิต"  ดำเนินรายการโดย "แนน" ชลิตา เฟื่องอารมย์ 

 "แม้แต่การ 'ตด' ก็สามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสุขภาพของคุณได้" ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด เกริ่น "มีคนมาปรึกษาผมว่า ทำไมเขาถึงผายลมบ่อย ผมต้องถามเลยว่า คุณกินอาหารอย่างไร" ดร.สาทิส บอก พร้อมย้ำถึงกฎการรับประทานอาหารสูตรชีวจิตว่า ในจำนวนอาหารที่รับประทาน 1 มื้อ แบ่งสัดส่วนเป็นข้าวหรือแป้งปริมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ผัก 25 เปอร์เซ็นต์ โปรตีน 15 เปอร์เซ็นต์ และเบ็ดเตล็ด เช่น เมล็ดฟักทอง ทานตะวัน ผลไม้ไม่หวาน สาหร่ายทะเล 10 เปอร์เซ็นต์  

 "การที่คุณรีบกิน ส่วนมากจะไม่ค่อยได้เคี้ยวอย่างละเอียด อาหารหรือสารอาหารประเภทโปรตีนและไขมันก็จะย่อยไม่ทัน ตอนนี้ล่ะที่ลมจะต้องเกิดขึ้น และมีการตดออกมาบ้าง ขั้นต้นขอให้เคี้ยวอาหารอย่างช้าๆ และอย่างละเอียดเสียก่อน แต่ถ้ามีตดร้าย ที่มาทั้งเสียงและกลิ่น มีอาการจุกเสียด คลื่นไส้ ตอนถ่ายท้องจะมีอาหารปวดจนน้ำตาไหล ต้องรีบไปหาหมอ" ดร.สาทิส ระบุ ก่อนแจงเคล็ดลับด้วยว่า  การกินถั่วที่ใครๆ ว่ากินแล้วตดนั้น ถ้ากินถั่วก่อนข้าวจะไม่มีปัญหา แต่ถ้ากินหลังอาหาร บอกได้เลยว่าอาจมีปู้ด

 ส่วนสูตร 5 เล็ก 5 ใหญ่
เริ่มจาก
"กฎ 5 เล็ก"
ข้อแรกคือ "การกิน" ยึดตามหลักดังที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ผลิตผลทางการเกษตรอย่างข้าวจะช่วยให้คนไทยมีแรงมากกว่าสเต๊กเป็นไหนๆ ข้อสอง คือ "การนอน" คนเราไม่จำเป็นต้องนอน 8 ชั่วโมง ถ้าหากหลับสนิทแล้ว แค่ 5 ชั่วโมงก็เพียงพอ ก่อนนอนพยายามทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ถ้าหลับแล้วไม่ฝัน แสดงว่าหลับสนิท ข้อสามคือ "การทำงาน" คือลุยงานด้วยความรัก มีสมาธิ ควรหาเวลาพักผ่อนด้วย โยงมาถึงข้อสี่ คือ "พักผ่อน" การพักผ่อนเริ่มง่ายๆ ด้วยการหายใจให้ถูกวิธี หายใจลึกๆ ให้เต็มอิ่ม จะช่วยให้ร่างกายมีแรง และข้อสุดท้าย "การออกกำกาย" วิธีออกกำลังกายให้ถูกหลัก คือ เหงื่อต้องออก ชีพจรเต้นเต็มที่ จับชีพจรได้ 120 ครั้ง/นาที ขึ้นไป เอนโดฟินส่วนหนึ่งของฮอร์โมนจะหลั่งออกมา ทำให้สบายกาย เรียกว่า "ยิ่งออกแรง ยิ่งมีแรง"  

 เมื่อแต่ละคนสามารถปฏิบัติกฎ 5 เล็กได้ "กฎ 5 ใหญ่" ซึ่งเป็นเรื่องระดับสังคมก็จะตามมาอย่างไม่ยากเย็น ข้อแรก คือ "ใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติ" ข้อสอง "ใช้ชีวิตเรียบง่ายและพอดี" ข้อสาม "ใช้ชีวิตอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และรักกันอย่างพี่น้อง" ข้อสี่ "สร้างความเป็นเลิศทางสุขภาพ" หมายถึง ใส่ใจดูแลตัวเอง ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม หรืออยากกินอะไรก็กิน ข้อห้า "ใช้ชีวิตเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคม ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน" เรียกว่ายึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง  

 "ตลอดเวลา 40 ปีที่เผยแพร่เรื่องราวชีวจิต มีโครงการทางสุขภาพมากมายที่อยากจะสร้างให้เป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า ทุกคนต้องนำไปต่อยอดปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อความเป็นเลิศทั้งทางร่างกายและจิตใจ" ดร.สาทิส กล่าวทิ้งท้าย

 ถึงเวลาแล้วที่เราจะหันมาใส่ใจสุขภาพอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการสร้างเสริมศักยภาพให้ร่างกายจิตใจ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาในระดับสังคม จวบจนถึงระดับชาตินั่นเอง

 "น้ำชาสุขภาพ"
 สูตรชีวจิตจากหนังสือ ดื่มแทนชากาแฟ โดยใช้สมุนไพร รากไม้ ดอกไม้ เมล็ดจากไม้เป็นเครื่องดื่ม

 "เถาวัลย์เปรียง" หั่นเป็นแว่นๆ นำมาคั่วให้หอม ชงน้ำดื่ม รสชาติอร่อยเป็นยาแก้ปัสสาวะ แก้ขัดเบา

 "เตยหอม" หั่นแล้วนำมาคั่วไฟอ่อนๆ ชงน้ำดื่ม บำรุงหัวใจ

 "ขิงแก่" ต้มน้ำจนเดือด ดื่มแก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว กรดในกระเพาะ

 ฯลฯ

เกร็ดความรู้ชีวจิต