Powered By Blogger

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

งีบอย่างสร้างสรรค์ เพิ่มพลังสมอง

ศาสตราจารย์ ดร.เดวิด เอฟ. ดิงเกส ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์การนอนหลับและประสาทชีววิทยาทางระบบหายใจ มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การงีบหลับช่วยพัฒนาสมอง และช่วยให้ความจำดีขึ้น เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้สมองจัดระเบียบข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมาให้เป็นระบบ
นอกจากนี้ เมื่อสมองปลอดโปร่ง ร่างกายจึงกระปรี้กระเปร่า และอารมณ์ดีขึ้นตามมา เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในช่วงบ่าย และลดความเครียดได้อีกด้วย
เพื่อการงีบหลับให้ได้ผลดี อย่ามองข้ามข้อปฏิบัติเหล่านี้
เลือกเวลา ช่วง 13.00 – 15.00 น. เป็นเวลาที่สอดคล้องกับวงจรการนอนของนาฬิกาชีวิต การงีบหลับในช่วงนี้จะไม่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับในตอนกลางคืน
เลือกสถานที่เงียบสงบ มีความมืด และอุณหภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป
ตั้งนาฬิกาปลุก ควรหลับสั้นๆ ไม่เกิน 30 นาที เพราะหากงีบหลับนานเกินไปจะทำให้เข้าสู่ช่วงหลับลึก ซึ่งยิ่งทำให้เกิดอาการง่วง และอ่อนเพลียหลังจากตื่นนอน รวมถึงอาจทำให้นอนไม่หลับในเวลากลางคืนได้
ลองงีบระหว่างวัน แล้วสังเกตถึงความปลอดโปร่งโล่งสบายของสมองหลังตื่นดูสิคะ

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

เพื่อให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์ ตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ คุณควรรับประทานอาหาร 4 อย่างต่อไปนี้ :

สตรอเบอร์รี่ : รับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น สตรอเบอร์รี่ อาจช่วยขจัดริ้วรอยและความแห้งกร้าน
ตามอายุได้ ผลจากการวิจัยในปี 2007 ใน American Journal of Clinical Nutrition  วิตามิน ซี ช่วยทำให้ผิวเรียบ
เนียนเพราะอาจเป็นผลจากความสามารถในการดูดซับอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตและบทบาทใน
การสังเคราะห์คอลลาเจน (วิตามิน ซี เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตคอลลาเจน ) คุณสามารถหาวิตามินซีจาก
เครื่องสำอางหลากหลายยี่ห้อที่อ้างถึงประสิทธิภาพในการปกป้องผิว แล้วทำไมคุณไม่ไปรับประทานอาหารที่ให้
วิตามิน ซีโดยตรง เช่น มะละกอ, บร็อคเคอรี่ และส้มเป็นต้น

มะเขือเทศ : มะเขือเทศมีสีแดงที่ได้รับจาก Lycopene  carotenoid ที่อาจช่วยให้ผิวของคุณเรียบเนียน
จากผลการศึกษาที่เผยแพร่ในปี 2008 ในวารสาร the European Journal of Pharmaceutics and
Biopharmaceutics พบว่าในตัวอย่างคน 20 คน คนที่มีความเข้มข้นของ Lycopene ที่ผิวสูงกว่ ามีผิวที่
เนียนกว่า นอกจากมะเขือเทศแล้วคุณสามารถเพิ่มปริมาณ Lycopene ได้ด้วยการรับประทาน แตงโมและแครอท

เต้าหู้ : เต้าหู้และอาหารที่ปรุงจากถั่วเหลือง อื่น ๆ เช่น edamame และนมถั่วเหลืองอาจช่วยรักษาผิวกระชับ
โดยคอลลาเจนเพราะอุดมไปด้วย isoflavones จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน วารสาร American College of
Nutrition พบว่าหนูที่ได้รับสาร isoflavonesและให้มันสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต ผิวของมันมีริ้วรอยน้อยกว่า
หนูที่ได้สัมผัสกับแสงยูวี แต่ไม่ได้รับ isoflavones นักวิจัยเชื่อว่า isoflavones ช่วยป้องกันการสลายคอลลาเจน

ปลาทูน่า : การรับประทานปลาทูน่า และปลาอย่างอื่นที่มีสาร omega  3 เช่นแซลมอน  ปลาซาร์ดีนและ
ปลาเทราท์ - อาจช่วยให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์ ขอบคุณสารโอเมก้า 3 ไขมัน EPA (eicosapentaenoic acid)
EPA เป็นสารรักษาคอลลาเจน 

วันนี้ คุณหายใจเป็นแล้ว หรือยัง...?

คนเราส่วนมากมักจะไม่ค่อยสนใจ เรื่องการหายใจเท่าใดนัก ถือว่า เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ เพราะเมื่อเกิดมา ใครๆก็หายใจได้โดยอัตโนมัติ จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการหายใจมากนัก หารู้ไม๊ว่า จะเกิดผลเสียจากการหายใจ ที่ไม่ถูกต้องคือ
1. ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยเกินไป
2. มีอากาศเก่าตกค้างอยู่ในปอดมาก
3. มักจะอ่อนเพลีย มึนงง เหนื่อยง่าย และใจสั่น
4. ร่างกายอ่อนแอ
ผลดีของการหายใจที่ถูกต้อง
1. ร่างกายได้รับออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น
2. มีอากาศเก่าตกค้างอยู่ในปอดน้อย
3. ความเครียด หอบหืด ไซนัส ก็จะบรรเทาลง
4. นอนหลับดีขึ้น
5. ไม่ค่อยอ่อนเพลีย สมองไม่มึนงง ไม่เหนื่อยง่าย และใจไม่สั่น
6. ร่างกายแข็งแรงขึ้น อายุยืน
รายละเอียด

1. ลักษณะการหายใจที่ถูกต้อง คือ หายใจยาวหรือลึก โดยสังเกตหายใจเข้า ท้องจะพอง และหายใจออก ท้องจะยุบ(หายใจเข้า ช้า ๆ สัก 3 วินาที และหายใจออก ช้า ๆสัก 3 วินาที)
2. บริหารกาย (หายใจเข้า-ออก)ยืนตรง ให้เท้าทั้งสองห่างกันพอสมควร (เพื่อมิให้ล้มง่าย)มือทั้งสองเหยียดตรง อยู่ด้านหน้าระหว่างขา หลังมือหันออกไปด้านหน้า จากนั้น ให้หายใจเข้าช้า ๆ พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นช้า ๆไปข้างหน้า จนกระทั่ง มือทั้งสองข้างอยู่เหนือศีรษะ หันฝ่ามือไปด้านหน้าแขนเหยียดตรง และยกมือให้เลยศีรษะไปด้านหลังมาก ๆเท่าที่จะทำได้
3. บริหารท่าผ่อนคลายก่อนนอน ให้นอนหงายบนเตียงนอน ในท่าสบาย ผ่อนคลายทุกส่วนมือและเท้า กางออกเล็กน้อย หงายมือ หลับตา สูดหายใจเข้าออกลึก ๆ ยาว ๆ สัก 20 ครั้ง จะทำให้รู้สึกดีขึ้นและช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นด้วยดร. แอนดรู ไวล์ แพทย์แนวหน้าผู้บุกเบิกการบำบัดรักษาโรคและการดูแลสุขภาพด้วยวิธีการแพทย์แบบผสมผสาน ได้กล่าวถึง ความสำคัญของการหายใจว่า

"ลมหายใจเป็นตัวเชื่อมระหว่างร่างกายกับจิตใจและจิตสำนึกลมหายใจเป็นกุญแจสำคัญที่จะควบคุมอารมณ์ทั้งหลาย และควบคุม
การทำงานของระบบประสาทสั่งการอัตโนมัติ
นอกจากนี้ ลมหายใจยังเป็นดัชนีบ่งถึงการแปรผันในจิตใจต่อเรื่องที่ผ่านเข้ามา หากให้ความสนใจกับลมหายใจ เราจะสามารถเคลื่อนเข้าสู่การผ่อนคลายและเข้าสู่สมาธิโดยอัตโนมัติ

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

10 สารต้านอนุมูลอิสระ

10 สารต้านอนุมูลอิสระ
          1. สารสกัดจากเมล็ดองุ่นได้รับการขนานนามว่าเป็นสารซุปเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์มานานเนื่องจากคุณสมบัติเด่นในด้านการกำจัดอนุมูลอิสระที่สูงกว่าสารแอนตี้ออกซิแดนท์อื่นๆ โดยสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า และวิตามินอี 50 เท่าทั้งยังคงอยู่ในกระแสเลือดได้นานถึง 72 ชม.สามารถป้องกันและลดการทำลายล้างจากสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายเราตลอดเวลาทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในอันเป็นสาเหตุของความเสื่อมและอ่อนแอของร่างกายโดยรวม โดยเฉพาะระบบหลอดเลือด หัวใจผิวหนัง และตา เมื่อรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นเป็นประจำจะทำให้ได้รับสาร OPCs เข้าไปยับยั้งการเสื่อมสลายของคอลลาเจนใต้ผิวหนังจึงช่วยชะลอการเสื่อมของผิวพรรณไม่ให้แก่ก่อนวัยอย่างตรงจุดปริมาณการใช้วันละ 20-60 มก.
          2. ชาเขียวในชาเขียวประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ที่ทรงพลังหลายชนิด โดยเฉพาะสาร EGCG ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงโดยมีฤทธิ์มากกว่าวิตามินอีถึง 20 เท่ามีผลการวิจัยพบว่าชาเขียวสามารถลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะต่าง ๆ ได้ดีโดยเฉพาะมะเร็งปอด, มะเร็งลำไส้, มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับนอกจากนี้ยังช่วยลดความเป็นพิษจากการสูบบุหรี่ เช่น นิโคติน และน้ำมันทาร์เป็นต้นปริมาณการใช้วันละ 300-1,000 มก.
          3. สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศสเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้ดีอีกชนิดหนึ่งซึ่งนอกจากประโยชน์ในการแก้ปัญหาเรื่องฝ้าด้วยการควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสีในร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่สมดุลไม่ผลิตเม็ดสีออกมาผิดปกติจนเป็นฝ้า, กระ แล้วยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและสุขภาพร่างกายโดยรวมอีกด้วยปริมาณการใช้ วันละ 75 มก.
          4. โคเอ็นไซน์คิวเท็นมีหน้าที่หลักในกระบวนการสร้างพลังงานในระดับเซลล์ เพื่อให้เซลล์ต่าง ๆของร่างกายทำงานได้อย่างปกติ หากร่างกายขาดโคเอ็นไซม์คิวเท็นถึง 75% ก็อาจเสียชีวิตได้ทั้งนี้เซลล์ที่ต้องการพลังงานสูงและมีความต้องการโคเอ็นไซม์คิวเท็นมากเป็นพิเศษได้แก่ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์สมอง เพื่อให้มีความตื่นตัวเพิ่มทักษะในการจดจำและผ่อนคลายจากความตึงเครียดส่วนเซลล์ผิวหนังต้องการโคเอ็นไซม์คิวเท็นเพื่อช่วยฟื้นฟูความสดใสปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.
          5. แนทเชอรัลเบต้าคาโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอนอกจากประโยชน์ในการบำรุงสายตาและผิวพรรณแล้วเบต้าแคโรทีนยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งที่ปอดจากการสูบบุหรี่จัดลดการก่อเซลล์มะเร็งที่ผิวหนังและทำให้ผิวหนังสามารถต้านทานต่อแสงแดดได้นานยิ่งขึ้นเบต้าแคโรทีนจากธรรมชาติที่สกัดได้จากสาหร่าย D.Salina จะเป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนที่เข้มข้นและปลอดภัยกว่าชนิดทั่วไปที่เป็นเคมีสังเคราะห์ปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.
          6. ลูตินเป็นสารธรรมชาติพบได้มากในพืชผักที่มีสีเขียวเข้ม เช่นผักกาดเขียว ใบหยิก ผักปวยเล้งในชีวิตประจำวันนอกจากจะต้องเผชิญกับรังสียูวีในแสงแดดที่กระทบต่อดวงตาโดยตรงแล้วยังต้องเจอกับแสงจ้าจากเครื่องคอมพิวเตอร์และทีวีวันละหลายชั่วโมงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เซลล์ในตาอ่อนแอหรือเสื่อมสภาพและตาบอดได้ซึ่งการรับประทานลูตินจะเป็นสารอาหารที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของจุดรับภาพและจอประสาทตาได้ดีเพราะมีส่วนรวมในการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ ที่สำคัญปริมาณการใช้ วันละ 6-20 มก.
          7. กรดอัลฟ่าไลโปอิคสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาตินี้ทำหน้าที่สำคัญ ๆ หลายอย่างในร่างกายการใช้เป็นอาหารเสริมจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยปรับปรุงกระบวนการเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงานจึงช่วยป้องกันและบรรเทาโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานได้ดีปริมาณการใช้ วันละ 50-200 มก.
          8. สารสกัดจากใบแปะก๊วยฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบแปะก๊วยเป็นผลมาจากสารในกลุ่มฟลาโวนไกลโคไซด์ที่มีอยู่กว่า 20 ชนิดในใบแปะก๊วย ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ทั้งนี้นอกจากคุณสมบัติอันโดดเด่นในการป้องกันความเสื่อมของเซลล์สมองและช่วยบำรุงสุขภาพสมองอย่างมีประสิทธิภาพจนเป็นที่ยอมรับทั่วโลกแล้วนั้นคุณสมบัติในการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตทั่วร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สมองยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันได้อย่างตรงจุดเช่นกันปริมาณการใช้ วันละ 40-80 มก.
          9. วิตามินซีนอกจากประโยชน์ในการเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหวัดและบรรเทาอาการภูมิแพ้แล้ว วิตามินซียังช่วยสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณ คลายความเครียด ความอ่อนเพลียแก้สภาวะการเป็นหมันในผู้ชาย โดยช่วยเพิ่มความแข็งแรง และปริมาณของตัวอสุจิอีกด้วยปริมาณการใช้ วันละ 1,000-4,000 มก.
          10. วิตามินอีช่วยในเรื่องการบำรุงผิวพรรณป้องกันโรคหัวใจและการอุดตันของเส้นเลือดในหัวใจทั้งยังช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆการรับประทานวิตามินอีในระยะยาวยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากและลดอัตราการตายของผู้ชายที่สูบบุหรี่จัดปริมาณการใช้ วันละ 200-400 มก

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อาหารแสลง ห้ามกินเมื่อป่วย....





อาหารแสลง คือ อาหารที่จะทำให้อาการป่วยของโรคนั้นๆ ทรุดหนักขึ้นเมื่อเราทาน อาหารแสลง นั้นเข้าไป ฉะนั้นเมื่อเวลาที่เราเป็นโรคอะไรสักอย่างก็มักจะมีการห้ามทาน อาหารแสลง นั้นๆ ขึ้นมาเพื่อไม่ให้โรคนั้นเป็นหนักขึ้นหรือรุกรามไปมากกว่าที่เป็นอยู่นั้น เองค่ะ และวันนี้เราก็มีคำแนะนำเกี่ยวกับ อาหารแสลงห้ามกินเมื่อป่วย อีกด้วยค่ะ ซึ่ง 10 โรคต่อไปนี้จะห้ามอาหารแสลงอะไรบ้างก็มาดูกันได้เลยค่ะว่าอาหารแสลงของแต่ละ โรคนั้นมีอะไรกันบ้างเอ่ยที่ห้ามกิน


“อาหารแสลง” ห้ามกินเมื่อป่วย

1. เป็นไข้หวัด มีไข้สูง
     ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมากๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก จะทำให้เกิดความร้อนสะสมเปรียบเสมือนอาหารเชื้อเพลิงหรือเป็นการเติมน้ำมัน เข้าไปในกองไฟ


2. โรคกระเพาะ
     ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสมทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและเป็นอาหารที่ย่อยง่าย


3. โรคความดันเลือดสูง
     ควรหลีกเลี่ยงอาหารมันอาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกายและความชื้นก็มีผลก็ ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูงนอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไย ขนุน ทุเรียน


4. โรคตับและถุงน้ำดี
     หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่าตับและถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลง และเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง


5. โรคหัวใจและโรคไต
     ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดเพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำการไหล เวียนเลือดจะ ช้าทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยงเพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงาน และหัวใจก็ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน


6. โรคเบาหวาน
     หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานหรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด


7. นอนไม่หลับ
     หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้ไม่ง่วงนอนหรือนอนไม่หลับสนิท


8. โรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก
     หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทะให้ท้องผูก หลอดเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ


9. ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด
     ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาหารผิวหนังกำเริบ


10. สิวหรือต่อมไขมันอักเสบ
     งดอาหารเผ็ดและมันเพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะ อาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนังขนตามร่างกายทำให้เกิดสิว

10 เคล็ดลับตื่นเช้าอย่างอารมณ์ดี


1. จัดการงานบ้านให้ดีล่วงหน้าตั้งแต่ตอนเย็น เพื่อเตรียมพร้อมรับเช้าวันใหม่ เช่น เตรียมชุดทำงานให้พร้อม เตรียมของที่จำเป็นต้องนำติดตัวไปด้วยเพื่อกันลืม
2. เตรียมตกแต่งห้องด้วยของสวยๆ งามๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งแรกที่ได้เห็นในตอนเช้า ลองหาแจกันดอกไม้ เทียนหอม ภาพวาดสวยๆ มาวางในห้อง
3. จัดเตียงให้อยู่ในที่ที่แสงแดดส่องถึงได้ในตอนเช้า เพราะช่วยให้กลไกในสมองตอบสนองต่อแสง ทำให้กระปรี้กระเปร่า
4. วางโคมไฟไว้ในที่ที่มือเอื้อมไปปิดเปิดถึงจะช่วยตั้งนาฬิกาชีวภาพในร่างกายได้ เพราะแสงจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย ทำให้ตื่นนอนตรงเวลาตามที่ตั้งใจ
5. เลี่ยงความเครียดก่อนจะเข้านอน เช่น ไม่ดูข่าวความรุนแรงก่อนเข้านอน
6. ก่อนนอนใช้เวลาสองสามนาทีเขียนบันทึกประจำวัน โดยเขียนความรู้สึกทุกอย่างที่ทำให้มีความสุขและรู้สึกดีตลอดวันนั้น เรื่องเหล่านี้จะทำให้หลับไปอย่างมีความสุข
7. เข้านอนตามเวลาอันสมควร ไม่นอนดึกจนเกินไป
8. ห้องนอนต้องมืดพอที่จะนอนหลับสนิท สำหรับคนที่มีปัญหาการนอน หรือนอนหลับยาก แสงแม้น้อยนิดก็ทำให้นอนไม่หลับได้
9. ยิ้มทุกครั้งที่ตื่นนอนตอนเช้า เพราะการยิ้มเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอฟิน ซึ่งช่วยให้กายใจผ่อนคลายและมีความสุข
10. ทำกิจกรรมหลังตื่นนอน โดยแบ่งเวลา 10-20 นาที ทำอะไรให้กับตัวเอง เช่น ฝึกโยคะสัก 2-3 ท่า ออกกำลังกายด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ หรือสวดมนต์
อยากตื่นรับเช้าวันใหม่ที่สดใสกว่าเดิม ต้องลองเปลี่ยนมาทำตามเคล็ดลับเหล่านี้ดูค่ะ

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับรักษาสิวในแบบชีวจิต

5 เคล็ดลับสวยใสไร้สิวแบบชีวจิต
 เกร็ดสุขภาพฉบับนี้เรามี 5 เคล็ดลับดีๆ กับการรักษาสิวด้วยตัวคุณเองในแบบชีวจิตมาฝากกันค่ะ
1. ปรับอาหารการกินด้วยสูตรชีวจิต ให้ถูกต้อง ไม่ควร รับประทานแป้งข้าวและของหวานที่ทำจากน้ำตาลทรายขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อกโกแลต รวมทั้งอาหารประเภทมันๆ และของ ทอดทั้งหลาย ควร หันมารับประทานผักและผลไม้ให้มาก เพราะมีวิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน แร่ธาตุโครเมียม และคลอโรฟิลล์ เพื่อช่วยปรับ สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท อาหารทะเล เป็น ต้น เพื่อช่วยลดการอักเสบและการติดเชื้อของสิว นอกจากนี้ยังทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่แทนเซลล์ผิวหนังที่เสีย ไป
2. ใช้ดีท็อกซ์ช่วยกำจัดท็อกซิน เพราะการเป็นสิว ย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีเจ้าท็อกซินหรือพิษเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น การทำดีท็อกซ์ ตามหลักชีวจิต เพื่อช่วยขจัดพิษในร่างกาย หลังจากทำดีท็อกซ์เสร็จ ก็เข้าห้องอบไอน้ำหรือ ซาวน่า เพื่อขับพิษออกทางผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง ค่ะ
3. ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่มีน้ำตาล เช่น ลูกใต้ใบ มะตูม หรืออื่นๆ ตามตำราชีวจิต เพราะน้ำจะเป็นตัวพาของเสียสิ่งสกปรกออกไป และจะได้ ประโยชน์จากสมุนไพรแต่ละชนิดอีกด้วย
4. ออกกำลังกายจนเหงื่อออก ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี และทำให้ต่อมไขมันเปิดและพาหัวสิวให้ละลายง่าย ไม่เกิดสิว แต่ที่สำคัญ อย่าลืม ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งหลังการออกกำลังกาย
5. ทำจิตใจให้สงบ มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส ความผ่อนคลายนี้จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งทำให้เม็ดเลือดขาวใน ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

การนอนอย่างถูกวิธี


ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุด
เพราะหัวใจเต้นสะดวกและอาหารจากกระเพาะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทำให้ไม่คั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานเกินไป และเป็นท่านอนที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ท่านอนตะแคงทั้งตะแคงซ้ายและขวาช่วยลดเสียงกรนได้ ในผู้ที่กรนจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ยาว โคนลิ้นหนา ต่อมทอนซิลโตมาก หรือโพรงจมูกอุดตัน


ท่านอนตะแคงซ้าย
เป็นท่านอนที่ช่วยลดอาการปวดหลังได้พอสมควร แต่ควรกอดหมอนข้างและพาดขาไว้ ข้อเสียคือทำให้หัวใจซึ่งอยู่ด้านซ้ายทำงานลำบากขึ้น และอาหารในกระเพาะที่ยังย่อยไม่หมดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจะคั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดลมจุกเสียดที่บริเวณลิ้นปี่ และอาจรู้สึกชาที่ขาซ้ายหากนอนทับเป็นเวลานาน หรือถ้าหนุนหมอนต่ำเกินไปจะทำให้ปวดต้นคอได้ แก้ไขโดยใช้หมอนสี่เหลี่ยมที่มีความสูงเท่าความกว้างของบ่าซ้ายหนุนนอน หรือใช้ ?หมอนลักยิ้ม? หนุนนอน เนื่องจากมีเนื้อหมอนสองข้างสูง ทำให้ศรีษะและไหล่อยู่ในแนวเดียวกัน

นอนหงาย
โดยปกติแล้วคนทั่วไปนิยมนอนหงาย ถือได้ว่าเป็นท่านอนมาตรฐาน เวลานอนหงายโดยไม่หนุนหมอนหรือใช้หมอนต่ำ ต้นคอจะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว ไม่ปวดคอ แต่ถ้าหนุนหมอนสักสองสามใบ คอจะก้มโน้มมาข้างหน้า ทำให้เกิดอาการปวดคอได้


สำหรับผู้ป่วยที่ควรหลีกเลี่ยงการนอนหงายได้แก่
1.ผู้ป่วยโรคปอดไม่เหมาะที่จะนอนท่านอนหงาย
2.ผู้ป่วยโรคหัวใจ

3.ผู้ที่มีอาการปวดหลัง

นอนคว่ำ (เป็นท่านอนที่ไม่ควรปฎิบัติ)
ท่านอนคว่ำทำให้หายใจติดขัดไม่สะดวก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเต้านมใหญ่หรือสำหรับผู้ชาย การนอนคว่ำก็อาจทำให้อวัยวะเพศถูกทับอยู่ตลอดเวลา จนเกิดอาการชาของอวัยวะเพศได้ การนอนคว่ำยังทำให้ปวดต้นคอ เนื่องจากต้องเงยมาข้างหลัง หรือบิดหมุนไปข้างซ้ายหรือขวานานเกินไป ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำ ควรหาหมอนรองใต้ทรวงอก โดยเฉพาะถ้าต้องการอ่านหนังสือในท่านอนคว่ำ ทั้งนี้เพื่อช่วยไม่ให้เมื่อยกล้ามเนื้อคอ และไม่มีอาการปวดคอ นอกจากนี้ ความเชื่อแต่โบราณที่เคยเข้าใจว่า ทารกควรให้นอนคว่ำรูปหัวจะทุยสวย ไม่แบน แต่ปัจจุบันพบว่าจริงๆ แล้วอาจเกิดผลเสียได้ ทารกมีโอกาสเสียชีวิตเนื่องจากหายใจไม่ออกจากการที่จมูกหรือปากถูกทับไว้

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นมวัว.....มัจจุราชเงียบ

ใครๆ ก็แนะนำให้ดื่มนม นมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นความจริงที่สำหรับคนเราในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะตอนนั้นข้าวของทุกอย่างแพงหมด เพราะขาดแคลน คนที่มีเงินเท่านั้นจึงจะได้กินดีอยู่ดี ได้รับโปรตีนมากกว่า ทำให้มีสุขภาพดีกว่าคนที่ขาดอาหาร ขาดโปรตีน
แต่ในสมัยนี้มันเปลียนไปแล้ว เพราะคนส่วนมากจะเกิดภาวะการบริโภคเกินซะมากกว่า และที่สำคัญโปรตีนที่คนส่วนใหญ่ได้มา ส่วนหนึ่งก็มาจากการดื่มนมนั่นเอง ในนมมีอะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทั้งที่ในนม มีไขมัน โปรตีน และแคลเซียม ไขมันในนมเป็นไขมันจากสัตว์ ซึ่งอุดมไปด้วยโคเลสเตอรอล เป็นไขมันอิ่มตัว เราอุตส่าห์หนีน้ำมันหมู แล้วยังมากินนมเอาโคเลสเตอรอลเข้าไปอีกหรือ คนที่วิจัยเรื่องนี้ ก็คือ The Milk Industry Foundation บอกว่า คนกินนมแล้วเสี่ยงต่อโรคอ้วน บริษัทนมจึงแก้ปัญหาด้วยการทำนมพร่องไขมัน ซึ่งก็ยังมีไขมันเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง

คุณประโยชน์ดี ๆ...จากนมถั่วเหลือง

คุณประโยชน์ดี ๆ...จากนมถั่วเหลือง
          พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ชะลอวัยประจำโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เปิดเผยถึงคุณสมบัติของน้ำนมถั่วเหลือง ในการช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจว่า องค์การอาหารและยา สมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกา ให้การยอมรับว่า อาหารและเครื่องดื่มจากถั่วเหลืองเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ เพราะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ ด้วยเหตุผลสำคัญสองประการคือ
          1.ถั่วเหลืองอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว และปราศจากคอเลสเตอรอล
          2.โปรตีนในถั่วเหลืองยังทำหน้าที่โดยตรงในการลดระดับคอเลสเตอรอลรวม และลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีกับสุขภาพ หรือ LDL Cholesterol และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ตลอดจนยับยั้งการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจ
          นอกจากนี้ ในนมถั่วเหลืองจะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า "ไอโซเฟลโวน" ในปริมาณที่สูง ซึ่งสารอาหารนี้มีคุณสมบัติช่วยบำรุงกระดูกและการช่วยชะลอวัย ในงานวิจัยจาก Molecular Nutrition & Food Research ปี พ.ศ. 2554 ค้นพบว่า ไอโซเฟลโวนจากถั่วเหลือง มีคุณสมบัติป้องกันและต้านเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มมะเร็งเต้านม รวมทั้งมะเร็งต่อมลูกหมาก เนื่องจากในน้ำนมถั่วเหลืองนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินอี รวมทั้งคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้น จึงเชื่อว่าสามารถต้านมะเร็งไปได้ในตัวเช่นกัน
          ส่วนสารไฟโตเอสโตรเจน (สารที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง หรือฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยบรรเทาอาการวัยทองในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้) ในนมถั่วเหลืองยังเป็นตัวป้องกันการทำงานที่ไปกระตุ้นมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าการดื่มน้ำนมถั่วเหลืองวันละ 2 กล่องทุกวันนั้น นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงได้ตั้งแต่ภายในแล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันและต้านเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกทางหนึ่ง
          พร้อมกันนี้คุณหมอแนะนำว่า การดื่มน้ำนมถั่วเหลืองนั้นสามารถดื่มได้ทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ขณะเดียวกันก็ไม่จำกัดอายุผู้ดื่ม แม้ว่าจะเป็นทารกแรกเกิดที่มีอาการแพ้นมวัว ก็สามารถเลือกรับประทานนมถั่วเหลืองได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามควรดื่มให้อยู่ในปริมาณที่เพียงพอ พูดง่าย ๆ ว่าต้องไม่มากหรือน้อยเกินไป หรือดื่มเพียง 2 กล่องต่อ 1 วัน จึงจะส่งผลดีต่อสุขภาพ
          ท้ายนี้ คุณหมอกล่าวถึงการเลือกดื่มนมถั่วเหลืองที่อยู่ในกล่องสำเร็จรูป กับน้ำเต้าหู้ที่เราผลิตขึ้นเองว่า ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล เพราะคนส่วนใหญ่มีการดำเนินชีวิตที่ค่อนข้างเร่งรีบ หากสามารถทำน้ำเต้าหู้รับประทานเองได้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องแน่ใจว่าจะไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย และที่สำคัญต้องแน่ใจว่าสามารถคงคุณค่าของสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำนมถั่วเหลืองไว้ได้ครบถ้วน

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มันเทศวันละหัว ก็หัวเราะได้

มันเทศวันละหัว ก็หัวเราะได้

ตัวช่วยที่ทำให้เราหัวเราะง่ายขึ้นคือ พืชหัวรสชาติหวานมันอย่างมันเทศ เพราะมันเทศมีวิตามินบี 6 จำนวนมาก ซึ่งช่วยในการทำงานของสมอง ป้องกันอาการทางประสาท ความคิดสับสน นอนไม่หลับ และอาการซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี
เมื่อสมองทำงานได้เป็นปกติ ส่งผลให้จิตใจปลอดโปร่งสดใส ยิ้มง่าย หัวเราะได้
หาซื้อง่ายและราคาแสนถูก อย่างนี้ต้องรีบหาซื้อมากินนะคะ
Tips
หลากวิธีปรุงมันเทศให้ถูกปาก
• มันเทศบดน้ำผึ้ง : มันเทศนึ่งทั้งหัว ปลอกเปลือกแล้วบดใส่ถ้วย ราดน้ำผึ้ง เป็นของหวานเพื่อสุขภาพ
• มันเทศอบกรอบ : ฝานมันเทศทั้งเปลือกเป็นแผ่นบางๆ พรมน้ำมันมะกอก อบด้วยความร้อน 400 องศาฟาเรนไฮต์ จนเหลืองกรอบ กินเป็นของว่าง
• สลัดมันเทศ : นึ่งมันเทศให้สุก หั่นเป็นชิ้นใส่ถ้วยสลัด เติมหอมหัวใหญ่ซอย และผักสลัดตามชอบ ราดน้ำมันมะกอก ปรุงรสด้วยผงกระหรี่ และเกลือ

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อาหารชีวจิตลดอ้วนได้

  

    น้ำหนักเกิน...สุขภาพแย่
    เมื่อก่อน....ตั้งแต่เล็กจนโต ผมกินทุอย่าง ไม่ว่าจะเป็น อาหารฟาสต์ฟูด ข้าวราดแกง ขนมขบเคี้ยว หรือขนมหวานนานาชนิด และยังชอบสรรหาของอร่อยอื่นๆ กินอีก
    แล้วถ้าถามถึงการออกกำลังกายล่ะก็...ผมไม่เคยแตะเลย แม้ว่าตรงข้ามบ้านจะเป็นสวนสาธารณะที่มีคนวิ่งจ็อกกิ้งตลอดเวลาก็ตาม
    พอเรียนจบปริญญาตรีผมก็เริ่มอ้วน หนักถึง 75 กิโลกรัม ต่อมาอีกเพียงไม่กี่ปี น้ำหนักตัวของผมก็พุ่งถึง 108 กิโลกรัม     แรกๆ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับการเป็นคนอ้วน เพราะมีความสุขกับการกิน จนกระทั่งเริ่มเป็นหวัดบ่อย ระบบขับถ่ายมีปัญหา ปวดหลังโดยไม่ทราบสาเหตุ และปวดข้อเข่าขณะเดิน
    พอไปตรวจ หมอก็บอกว่า “ต้องลดน้ำหนัก” โดยเปรียบเทียบให้ฟังว่า ความอ้วนของผมเหมือนสะพายเป้ใบใหญ่ไว้ที่หน้าท้อง ร่างกายแบกรับน้ำหนักมากขนาดนี้ อาการปวดต่างๆ จะไม่เกิดขึ้นได้อย่างไร
    ผมยังไม่เชื่อหมอในทันที และบอกหมอว่า “ให้ไปตายดีกว่ามาลดน้ำหนัก” จนอาการปวดหลังทำให้ผมรู้สึกทรมานขึ้นเรื่อยๆ และทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
    หนทางเดียวที่ต้องทำ คือลดน้ำหนักเท่านั้น!

    ลองผิดลองถูก
    ผมไม่รู้จะเริ่มต้นลดน้ำหนักอย่างไร จึงคิดว่าการอดน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
    เลยงดกินแป้ง อย่างข้าว และขนมปัง เวลากินอาหารแต่ละมื้อก็กินแต่กับข้าว ทำแบบนี้นานหกเดือน น้ำหนักลดลงเหลือ 99 กิโลกรัม
    ผมดีใจมาก นั่นหมายความว่า ผมชนะการแข่งลดน้ำหนักกับเพื่อนร่วมงาน จึงได้เงินจากหัวหน้าเป็นรางวัล 1,000 บาท
    จากนั้นก็นำเงินไปเลี้ยงฉลองปีใหม่กับเพื่อนๆ หาของอร่อยที่อดมานานกินเต็มที่ น้ำหนักดีดกลับขึ้นมาเป็น 110 กิโลกรัม และต้องกลับมาใส่กางเกงเอว 43 อีกครั้ง
    ผมเครียดมาก เลยลองไปเข้าคอร์สลดน้ำหนักตามสถาบันต่างๆ ซึ่งใช้วิธี ตีละลายไขมัน หมดเงินไป 10,000 บาท แต่น้ำหนักลดลงแค่ 2 กิโลกรัมเท่านั้น
    สุดท้ายผมก็แก้กลุ้มด้วยการลองหาผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนต่างๆ มาลองกิน ปรากฏว่าเป็นยาใจที่ดี คือกินแล้วรู้สึกไปเองว่าผอมลง

    ออกกำลังกายดีกว่า
    สุดท้ายผมก็ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย
    เผอิญมีศูนย์ฟิตเนสเปิดใหม่ ผมเลยสมัครเป็นสมาชิกรายปี แล้วออกกำลังกายอย่างจริงจัง เริ่มจากวิ่งบนลู่วิ่ง แต่เกิดอาการปวดขามาก เทรนเนอร์จึงแนะนำว่าให้เปลี่ยนมาเล่นเครื่องปั่นจักรยานแทน ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่น้ำหนักตัวเยอะ

    เริ่มกินอาหารชีวจิต
    เมื่ออ่านหนังสือที่มีความรู้ทางโภชนาการหลายเล่ม ก็พบว่าการรู้จักเลือกกินอาหารที่ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ เป็นเรื่องจำเป็น
    เพื่อนของผมคนหนึ่งเล่าว่าต้มน้ำอาร์ซีให้แม่ที่ป่วยดื่มเป็นประจำแล้วทำให้อาการดีขึ้น ผมจึงคิดว่าตัวเองน่าจะลองทำบ้าง พอลองกินก็ชอบ และถูกใจตรงที่ได้กินธัญพืช (ของโปรด) ถึง  9 ชนิด
    ทุกเช้าผมจึงต้มน้ำอาร์ซีไปดื่มที่ทำงาน จากนั้นก็นำข้าวที่เหลือมาหุงไว้กินมื้อกลางวัน (โชคดีที่ทำงานมีห้องครัว) และต้มผักแบบง่ายๆ โดยหั่นเป็นชิ้นเติมน้ำแล้วนำเข้าไมโครเวป เพียง 5 นาที ก็นำมากินได้กับกับข้าวที่ซื้อมาได้เลย
    ด้วยความชื่นชอบน้ำและข้าวอาร์ซี ทำให้อยากกินอาหารชีวจิต ผมคิดว่าตัวเองน่าจะกินได้เพราะมีประโยชน์และช่วยเรื่องระบบเผาผลาญได้ดี
    แต่ผมก็ยังไม่ได้กินอาหารชีวจิตแบบร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ ยังคงกินไข่ และเนื้อไก่ที่ไม่ติดไขมันบ้างในบางวัน
คงต้องค่อยๆ ปรับไปเรื่อยๆ ตามประสาชีวจิตมือใหม่แหละครับ

    กินให้ง่ายเข้าไว้
    ผมเป็นคนกินง่าย และไม่ชอบกินอะไรแบบบีบบังคับตัวเองมากเกินไป จึงคิดว่าวิธีนี้น่าจะดี และเหมาะกับตัวเอง
    มื้อเช้า ผมจะทำแซนวิชขนมปังโฮลวีต และสาหร่ายทะเลอบกรอบ กินกับนมถั่วเหลือง
    มื้อกลางวัน เมนูของผมค่อนข้างหลากหลาย บางวันก็เป็นข้าวอาร์ซีกับปลาแซลมอนย่าง ผักลวก และปลาร้าบองผัด บางวันก็เป็นสลัดผักราดน้ำจิ้มสุกี้ (ที่หาได้ตามร้านสะดวกซื้อ) กินกับปลาแมคคอเรล และบางวันก็เป็นส้มตำทะเลไข่ต้ม
    ของว่าง ก่อนไปออกกำลังกายตอนเย็น จะรู้สึกหิวเล็กน้อย ผมจึงคิดเมนูของว่างแบบง่ายๆ เช่น มะละกอหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ราดด้วยโยเกิร์ตรสธรรมชาติ แก้วมังกรกับเชอร์รี่แช่อิ่มราดด้วยโยเกิร์ตกับน้ำแอบเปิ้ลไซเดอร์ และแครกเกอร์โฮลวีตกับนมเปรี้ยวไขมันต่ำ
    มื้อเย็น ผมไม่ค่อยเน้นกินมาก บางวันก็กินผลไม้หลายๆ ชนิด และบางวันก็กินลูกพรุน 5 เม็ด และดื่มน้ำตามเยอะๆ ก็อิ่มท้องแล้ว

    อยากสุขภาพดีต้องกินแบบผม
    หลังจากกินอาหารตามแนวชีวจิต (เน้นกินอาหารเป็นยา) และออกกำลังกายเป็นประจำ ผมก็ไม่ป่วยไม่ไข้เลย ระบบขับถ่ายดีเป็นปกติ และน้ำหนักลงเหลือเพียง 82 กิโลกรัม หายปวดหลังเป็นปลิดทิ้ง
    อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ผมจะลดน้ำหนักลงให้เหลือ 80 กิโลกรัม และก่อนปี 2554 จะต้องลดเหลือ 70 กิโลกรัมครับ
    ตอนนี้เลยใส่ใจกินอาหารชีวจิตเคร่งครัดมากขึ้น แต่ยังคงถือคติกินให้ง่ายเข้าไว้เหมือนเดิม วันไหนมีประชุมต้องกินอาหารที่ที่ทำงานเตรียมให้ อย่างข้าวน้ำพริกลงเรือ ผมก็จะเทข้าวอาร์ซีผสมลงไปด้วย
    เกือบทุกวัน หลังออกกำลังกายเสร็จ (21.30 น.) ผมจะแวะซุปเปอร์มาเก็ตซื้อของโปรด เช่น บล็อกโคลี่ แครอท ผักโขม และปลาจิ้งจ้าง มาไว้ทำข้าวชุดเบนโตะแสนอร่อยได้สุขภาพกิน พร้อมลองทำเมนูใหม่ๆ ตามคอลัมน์ “ครัวชีวจิต” ด้วยนะครับ ล่าสุดผมลองทำสลัดปูอัดแล้ว อร่อยจริงๆ
    ผมคิดว่าอาหารการกินเป็นเรื่องสำคัญมาก กินอย่างไรก็ย่อมได้อย่างนั้น กินอาหารชีวจิตแล้วดีต่อสุขภาพแถมน้ำหนักยังลดลงเรื่อยๆ อีกด้วย
    ลดความอ้วนแบบไม่อดใครล่ะจะไม่ชอบ ขอให้ทุกคนโชคดีนะครับ


 โดย คุณธนาวุฒิ หงดิษฐาราม ชื่อเล่นว่าต๋ง อายุ 29 ปี

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

*** 'ความงามสำหรับผิวหน้า' ***


ในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึง 7% แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างมะกรูด น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม และการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ทว่าเพิ่งได้ทราบเมื่อไม่ช้านานมานี้ (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 19) ก็คือ การป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเคยเป็นปัญหาของนักเดินเรือมาช้านาน ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุที่มะนาวสามารถช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด เพราะในมะนาวมีไวตามินซีเป็นปริมาณมาก

สรรพคุณทางยา
มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค ไวตามินซี จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอ และซี ทั้งยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาวอีกด้วย
มะนาวมีประโยชน์ใช้เป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ แก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม นอกจากนี้ยังช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้อาเจียน เมาเหล้า ขจัดคราบบุหรี่ บำรุงตา บำรุงผิว เป็นต้น
สูตรผสม : ลดสีเข้มของกระบนใบหน้า
ดินสอพอง 4-5 เม็ด
มะนาว 2 ซีก
วิธีผสม
นำดินสอพองผสมกับน้ำมะนาวขยี้รวมกัน หากข้นเกินไป ให้เติมมะนาวลงไปอีกนิด เมื่อผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันแล้วจะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว ใช้สำหรับนำมาพอกหน้าที่สะอาดแล้ว ก่อนเข้านอนพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกผิวหน้านวลเนียน ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงเดือน จะสังเกตเห็นว่าผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อทำได้ประมาณ 3 เดือนแล้วก็ให้ทำต่อไป เพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็พอ เพื่อเป็นการรักษาความงามของผิวหน้า ให้คงอยู่ตลอดไป

อาหารต้านตีนกาบนใบหน้า



รอยย่นบนใบหน้าเป็นสัญญาณความร่วงโรย หรือความแก่ชรานั่นเอง มีอาหารหลายชนิดช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของใบหน้าได้ ดังนี้
1.ซาร์ดีน เป็นปลาน้ำเย็นที่เต็มไปด้วยกรดโอเมก้า – 3 โปรตีน และแคลเซียม ซาร์ดีน 3 ออนซ์ให้แคลเซียมเท่ากับนม 1 แก้ว (300 มิลลิกรัม) มีเกร็ดเล่าว่า สมัยศตวรรษที่ 19 พระเจ้านโปเลียนมหาราชรับสั่งให้ถนอมอาหาร จุดกำเนิดของปลาซาร์ดีนในน้ำมันและซอสมะเขือเทศเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคนั้น
2. น้ำมันมะกอก สกัดจากผลไม้ชนิดหนึ่ง มีอัตราไขมันอิ่มตัวต่ำ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายควรเลือกใช้ชนิด Extra Virgin เพราะมีความบริสุทธิ์มากที่สุด และยังมากไปด้วยสารแอนติออกซิแดนต์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
3.แซลมอน มีกรดไขมันโอเมก้า – 3 โปรตีน และวิตามินเอ จำเป็นสำหรับสมองและการทำงานของหัวใจ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเกลือแร่สำคัญอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ซีลีเนียม และสังกะสี หากกินแซลมอนร่วมกับผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวานได้
4.น้ำผึ้ง มีหลายร้อยชนิดในโลกนี้ สีและกลิ่นจะต่างกันตามชนิดของเกสรดอกไม้ นอกจากเปี่ยมด้วยสารอาหารชั้นเลิศ ยังมีสรรพคุณเยียวยาอาการติดเชื้อของแผล รวมทั้งช่วยเก็บความชุ่มชื้นและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
5.โยเกิร์ต เป็นอาหารเก่าแก่ที่สุดในโลกอีกชนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 10,000 ปี สันนิษฐานว่าต้นตำรับคือชาวตุรกีหรืออิหร่าน โยเกิร์ตถ้วยแรกเกิดขึ้นอย่างบังเอิญ จากการเก็บนมไว้ในถุงหนังแพะ ต่อมาได้รับการยอมรับว่า ช่วยเยียวยาอาการที่เกิดกับระบบย่อยอาหาร ช่วยล้างพิษ และทำให้อายุยืน

อาหารทั้ง 5 ชนิดต้องมีสักอย่างหรอกน่าที่ถูกปากคุณบ้างหล่ะนะจ้า…

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การกินเพื่อสุขภาพ

การกินก็ทำให้สุขภาพดีได้ วันนี้มีเคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพมาฝาก...

- กินอาหารเช้า
การกินอาหารเช้า จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น
- เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร
ลองเปลี่ยนไปใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันดอกทานตะวันปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิม ๆ ที่เคยใช้ เพราะน้ำมันทั้งสองชนิดนี้ทำให้ไม่มีไขมันในเส้นเลือด
- ดื่มน้ำให้มากขึ้น
ควรดื่มน้ำวันละประมาณ 8-10 แก้วเพื่อเป็นการหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
- เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก
ควรกินปลาตัวเล็ก เต้าหู้ หรือผักใบเขียว เพราะอาหารประเภทนี้มีแคลเซียมสูง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก
- เลิกกินขนมขบเคี้ยว
เพราะขนมเหล่านี้มีไขมันและน้ำตาลสูง ซึ่งจะไปทำลายสุขภาพ ถ้าอยากกินขนมขบเคี้ยว ลองหันมากินผลไม้แทนจะดีกว่าเพราะมีวิตามินและไฟเบอร์ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า
- กินธัญพืชและข้าวกล้อง
เมล็ดทานตะวัน ข้างฟ่าง ลูกเดือย ข้าวกล้อง รวมทั้งเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ สามารถลดคอเลสเตอรอลและควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
- เปลี่ยนชนิดของผักผลไม้
พยามกินผักผลไม้ต่าง ๆ ให้หลากสีอย่ายึดติดอยู่กับการกินเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะพืชต่างสีกันสารอาหารก็จะต่างชนิดกัน
- หันมากินปลากันดีกว่า
เพราะในเนื้อปลาจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีนที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และยังช่วยบำรุงเซลล์สมองที่สำคัญยังมีไขมันน้อย
- กินถั่วเป็นประจำ
ในถั่วมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ๆ อยู่หลายชนิด ดังนั้นควรที่กินถั่วอย่างสม่ำเสมอ

ถ้าอยากมีสุขภาพดี ลองมาเปลี่ยนวิธีการกินเสียใหม่ เพื่อสุขภาพที่

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การดื่มน้ำรักษาโรค

การดื่มน้ำรักษาโรค
วารสารทางการแพทย์บอกว่าเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ความเข้มของโลหิตยังสูงและมีผลต่อระบบ ความดันโลหิตในร่างกาย แพทย์แนะนำว่าทันทีที่ตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีหนึ่งแก้ว เพื่อลดความเข้มของโลหิต พวกเราลองดูละกัน อีกอย่างที่พบมาก็คือ ท่านพุทธทาสก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

เมื่อเร็วๆ นี้มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์
นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำน้ำหนักตัวของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำอันที่จริงน้ำสามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้

นายแพทย์แนะนำบ่อยๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุกๆ วัน
วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผลดีตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้าไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว) หรือน้ำหนักของน้ำ1.26 ก.ก.เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียว จะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อยหลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อยๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ทุกเช้าควรปฏิบัติดื่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลังกาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัย

ในระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ส่งไปให้เพื่อนฝูง เพื่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ควรจะเผยแพร่ให้มากขึ้น
ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลอง" ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอนเนื่องจากทำให้ลำไส้ใหญ่ผลิตโลหิตใหม่มากขึ้น ซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ดูดธาตุอาหารต่างๆ ผลิตให้เป็น
เม็ดโลหิต เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจางมีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายาก ลำไส้ของใหญ่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่างๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็นโลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น
โรคต่างๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน มหาวิทยาลัยตามมณฑลต่างๆ ในประเทศจีนได้ผ่านการทดลองและประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคสามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้
คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาท ความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยวโรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็น ปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยื่อสมองอักเสบ โรคตับ
โรคไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิด โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่างๆ ตาออกเลือด สตรีประจำเดือนไม่ปกติ ระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคผิวหนังต่างๆ

ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มมาแล้ว
1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่า ท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20ปีกระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปีได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน รักษาฉีดยา รับประทานยา ไม่ได้ผล
ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลองดื่มน้ำสุกอย่างนี้ตื่นแต่เช้าหน้าไม่ล้าง ปากไม่บ้วน ดื่มน้ำสุก 5 แก้วทุกๆ วัน อย่าให้ขาดตอน และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอน นายแพทย์สั่งเสร็จก็กลับไปโดยไม่ให้ยาไปกินวันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียว ในหนึ่งชั่วโมงปัสสาวะ
3 ครั้ง หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้วๆมาวันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีกถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มากต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 ก.ก. เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฏิบัติดื่มน้ำมายังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น
2 เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน ไม่นานเยื่อสมองที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว 120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ โรคประสาท โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำนวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทงแบบหมอจีนก็ไม่หาย แต่เวลานี้หายไปหมดแล้วจากการดื่มน้ำ


3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้ผลิตโลหิตขึ้น จนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่างๆ จะต้องมาจากอาหารอย่างแน่นอน เมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมากกลายเป็น
ของเหลว เมื่อลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่างๆ เสร็จก็จะส่งไปสู่ลำไส้ออกของที่ทวารหนักซึ่งเป็นของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกาย

4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือนเริ่มเห็นผล กระเพาะบิด 3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล เข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย ดื่มน้ำ 2 เดือน เห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่ โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้นเป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต

ผู้ที่ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด
หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อนเพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมงไม่ควรดื่มอีก ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ล ผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้หรือออกกำลังสัก 20นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดให้มากๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาด ดื่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง จะ
ปัสสาวะ 3 ครั้งติดๆ กัน แต่ต่อไป 3 - 4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติภายใน 7- 8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครั้งเดียว นับแค่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่หมดหวังแล้วจะรอดตายด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ นี้จึงเขียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน ขอให้ทุกท่านจงปราศจากการไข้และป่วยต่างๆ

 


เกร็ดความรู้ชีวจิต

"ชีวจิต" ครั้งใหม่ บำบัดด้วย "5 กฎใหญ่-เล็ก"
"ชีวจิต" ครั้งใหม่ บำบัดด้วย "5 กฎใหญ่-เล็ก"
22 เมษายน 2550 21:06 น.

"หมอที่เก่งที่สุดในโลกนั้น ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก ตัวคุณเองนั่นแหละคือหมอที่เก่งที่สุดในโลก แต่ก่อนจะเก่งได้ต้องรู้จักตัวเอง

 หมั่นศึกษาตัวเอง และคอยสังเกตว่าเวลามีอาการผิดปกติบางอย่างในตัวคุณนั้นเป็นเพราะอะไร อยากให้คุณๆ รู้ว่าเรื่องของสุขภาพและการแพทย์เป็นเรื่องธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันเรานี่เอง" นี่คือคำบอกเล่าของ ดร.สาทิส อินทรกำแหง เจ้าของรางวัลนราธิป ปี 2549 ผู้บุกเบิกเส้นทางของแนวคิดแบบชีวจิต และมีผลงานเขียนออกมาเล่มแล้ว เล่มเล่า

 ด้วยโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้กับคนเราเพียงแค่ปลายช้อนตักเข้าปาก โรคภัยต่างๆ จึงไล่เรียงให้ ดร.สาทิสบอกเล่าถึงแนวทางแก้ไขไว้หลายต่อหลายครั้ง ในงานเปิดตัวหนังสือ "ปั้นชีวิตใหม่ด้วย ชีวจิต เล่ม 4" ที่อมรินทร์คอร์เปอเรทปาร์ค เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดร.สาทิส เผยเคล็ดลับด้วยว่า คนเราจะดำเนินชีวิตให้สดใสแข็งแรงได้อย่างไร ในหัวข้อ "ปั้นชีวิตใหม่กับกฎ 5 เล็ก 5 ใหญ่ หัวใจชีวจิต"  ดำเนินรายการโดย "แนน" ชลิตา เฟื่องอารมย์ 

 "แม้แต่การ 'ตด' ก็สามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสุขภาพของคุณได้" ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด เกริ่น "มีคนมาปรึกษาผมว่า ทำไมเขาถึงผายลมบ่อย ผมต้องถามเลยว่า คุณกินอาหารอย่างไร" ดร.สาทิส บอก พร้อมย้ำถึงกฎการรับประทานอาหารสูตรชีวจิตว่า ในจำนวนอาหารที่รับประทาน 1 มื้อ แบ่งสัดส่วนเป็นข้าวหรือแป้งปริมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ผัก 25 เปอร์เซ็นต์ โปรตีน 15 เปอร์เซ็นต์ และเบ็ดเตล็ด เช่น เมล็ดฟักทอง ทานตะวัน ผลไม้ไม่หวาน สาหร่ายทะเล 10 เปอร์เซ็นต์  

 "การที่คุณรีบกิน ส่วนมากจะไม่ค่อยได้เคี้ยวอย่างละเอียด อาหารหรือสารอาหารประเภทโปรตีนและไขมันก็จะย่อยไม่ทัน ตอนนี้ล่ะที่ลมจะต้องเกิดขึ้น และมีการตดออกมาบ้าง ขั้นต้นขอให้เคี้ยวอาหารอย่างช้าๆ และอย่างละเอียดเสียก่อน แต่ถ้ามีตดร้าย ที่มาทั้งเสียงและกลิ่น มีอาการจุกเสียด คลื่นไส้ ตอนถ่ายท้องจะมีอาหารปวดจนน้ำตาไหล ต้องรีบไปหาหมอ" ดร.สาทิส ระบุ ก่อนแจงเคล็ดลับด้วยว่า  การกินถั่วที่ใครๆ ว่ากินแล้วตดนั้น ถ้ากินถั่วก่อนข้าวจะไม่มีปัญหา แต่ถ้ากินหลังอาหาร บอกได้เลยว่าอาจมีปู้ด

 ส่วนสูตร 5 เล็ก 5 ใหญ่
เริ่มจาก
"กฎ 5 เล็ก"
ข้อแรกคือ "การกิน" ยึดตามหลักดังที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ผลิตผลทางการเกษตรอย่างข้าวจะช่วยให้คนไทยมีแรงมากกว่าสเต๊กเป็นไหนๆ ข้อสอง คือ "การนอน" คนเราไม่จำเป็นต้องนอน 8 ชั่วโมง ถ้าหากหลับสนิทแล้ว แค่ 5 ชั่วโมงก็เพียงพอ ก่อนนอนพยายามทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ถ้าหลับแล้วไม่ฝัน แสดงว่าหลับสนิท ข้อสามคือ "การทำงาน" คือลุยงานด้วยความรัก มีสมาธิ ควรหาเวลาพักผ่อนด้วย โยงมาถึงข้อสี่ คือ "พักผ่อน" การพักผ่อนเริ่มง่ายๆ ด้วยการหายใจให้ถูกวิธี หายใจลึกๆ ให้เต็มอิ่ม จะช่วยให้ร่างกายมีแรง และข้อสุดท้าย "การออกกำกาย" วิธีออกกำลังกายให้ถูกหลัก คือ เหงื่อต้องออก ชีพจรเต้นเต็มที่ จับชีพจรได้ 120 ครั้ง/นาที ขึ้นไป เอนโดฟินส่วนหนึ่งของฮอร์โมนจะหลั่งออกมา ทำให้สบายกาย เรียกว่า "ยิ่งออกแรง ยิ่งมีแรง"  

 เมื่อแต่ละคนสามารถปฏิบัติกฎ 5 เล็กได้ "กฎ 5 ใหญ่" ซึ่งเป็นเรื่องระดับสังคมก็จะตามมาอย่างไม่ยากเย็น ข้อแรก คือ "ใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติ" ข้อสอง "ใช้ชีวิตเรียบง่ายและพอดี" ข้อสาม "ใช้ชีวิตอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และรักกันอย่างพี่น้อง" ข้อสี่ "สร้างความเป็นเลิศทางสุขภาพ" หมายถึง ใส่ใจดูแลตัวเอง ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม หรืออยากกินอะไรก็กิน ข้อห้า "ใช้ชีวิตเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคม ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน" เรียกว่ายึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง  

 "ตลอดเวลา 40 ปีที่เผยแพร่เรื่องราวชีวจิต มีโครงการทางสุขภาพมากมายที่อยากจะสร้างให้เป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า ทุกคนต้องนำไปต่อยอดปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อความเป็นเลิศทั้งทางร่างกายและจิตใจ" ดร.สาทิส กล่าวทิ้งท้าย

 ถึงเวลาแล้วที่เราจะหันมาใส่ใจสุขภาพอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการสร้างเสริมศักยภาพให้ร่างกายจิตใจ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาในระดับสังคม จวบจนถึงระดับชาตินั่นเอง

 "น้ำชาสุขภาพ"
 สูตรชีวจิตจากหนังสือ ดื่มแทนชากาแฟ โดยใช้สมุนไพร รากไม้ ดอกไม้ เมล็ดจากไม้เป็นเครื่องดื่ม

 "เถาวัลย์เปรียง" หั่นเป็นแว่นๆ นำมาคั่วให้หอม ชงน้ำดื่ม รสชาติอร่อยเป็นยาแก้ปัสสาวะ แก้ขัดเบา

 "เตยหอม" หั่นแล้วนำมาคั่วไฟอ่อนๆ ชงน้ำดื่ม บำรุงหัวใจ

 "ขิงแก่" ต้มน้ำจนเดือด ดื่มแก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว กรดในกระเพาะ

 ฯลฯ

เกร็ดความรู้ชีวจิต