Powered By Blogger

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

งีบอย่างสร้างสรรค์ เพิ่มพลังสมอง

ศาสตราจารย์ ดร.เดวิด เอฟ. ดิงเกส ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์การนอนหลับและประสาทชีววิทยาทางระบบหายใจ มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การงีบหลับช่วยพัฒนาสมอง และช่วยให้ความจำดีขึ้น เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้สมองจัดระเบียบข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมาให้เป็นระบบ
นอกจากนี้ เมื่อสมองปลอดโปร่ง ร่างกายจึงกระปรี้กระเปร่า และอารมณ์ดีขึ้นตามมา เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในช่วงบ่าย และลดความเครียดได้อีกด้วย
เพื่อการงีบหลับให้ได้ผลดี อย่ามองข้ามข้อปฏิบัติเหล่านี้
เลือกเวลา ช่วง 13.00 – 15.00 น. เป็นเวลาที่สอดคล้องกับวงจรการนอนของนาฬิกาชีวิต การงีบหลับในช่วงนี้จะไม่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับในตอนกลางคืน
เลือกสถานที่เงียบสงบ มีความมืด และอุณหภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป
ตั้งนาฬิกาปลุก ควรหลับสั้นๆ ไม่เกิน 30 นาที เพราะหากงีบหลับนานเกินไปจะทำให้เข้าสู่ช่วงหลับลึก ซึ่งยิ่งทำให้เกิดอาการง่วง และอ่อนเพลียหลังจากตื่นนอน รวมถึงอาจทำให้นอนไม่หลับในเวลากลางคืนได้
ลองงีบระหว่างวัน แล้วสังเกตถึงความปลอดโปร่งโล่งสบายของสมองหลังตื่นดูสิคะ

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

เพื่อให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์ ตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ คุณควรรับประทานอาหาร 4 อย่างต่อไปนี้ :

สตรอเบอร์รี่ : รับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น สตรอเบอร์รี่ อาจช่วยขจัดริ้วรอยและความแห้งกร้าน
ตามอายุได้ ผลจากการวิจัยในปี 2007 ใน American Journal of Clinical Nutrition  วิตามิน ซี ช่วยทำให้ผิวเรียบ
เนียนเพราะอาจเป็นผลจากความสามารถในการดูดซับอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตและบทบาทใน
การสังเคราะห์คอลลาเจน (วิตามิน ซี เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตคอลลาเจน ) คุณสามารถหาวิตามินซีจาก
เครื่องสำอางหลากหลายยี่ห้อที่อ้างถึงประสิทธิภาพในการปกป้องผิว แล้วทำไมคุณไม่ไปรับประทานอาหารที่ให้
วิตามิน ซีโดยตรง เช่น มะละกอ, บร็อคเคอรี่ และส้มเป็นต้น

มะเขือเทศ : มะเขือเทศมีสีแดงที่ได้รับจาก Lycopene  carotenoid ที่อาจช่วยให้ผิวของคุณเรียบเนียน
จากผลการศึกษาที่เผยแพร่ในปี 2008 ในวารสาร the European Journal of Pharmaceutics and
Biopharmaceutics พบว่าในตัวอย่างคน 20 คน คนที่มีความเข้มข้นของ Lycopene ที่ผิวสูงกว่ ามีผิวที่
เนียนกว่า นอกจากมะเขือเทศแล้วคุณสามารถเพิ่มปริมาณ Lycopene ได้ด้วยการรับประทาน แตงโมและแครอท

เต้าหู้ : เต้าหู้และอาหารที่ปรุงจากถั่วเหลือง อื่น ๆ เช่น edamame และนมถั่วเหลืองอาจช่วยรักษาผิวกระชับ
โดยคอลลาเจนเพราะอุดมไปด้วย isoflavones จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน วารสาร American College of
Nutrition พบว่าหนูที่ได้รับสาร isoflavonesและให้มันสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต ผิวของมันมีริ้วรอยน้อยกว่า
หนูที่ได้สัมผัสกับแสงยูวี แต่ไม่ได้รับ isoflavones นักวิจัยเชื่อว่า isoflavones ช่วยป้องกันการสลายคอลลาเจน

ปลาทูน่า : การรับประทานปลาทูน่า และปลาอย่างอื่นที่มีสาร omega  3 เช่นแซลมอน  ปลาซาร์ดีนและ
ปลาเทราท์ - อาจช่วยให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์ ขอบคุณสารโอเมก้า 3 ไขมัน EPA (eicosapentaenoic acid)
EPA เป็นสารรักษาคอลลาเจน 

วันนี้ คุณหายใจเป็นแล้ว หรือยัง...?

คนเราส่วนมากมักจะไม่ค่อยสนใจ เรื่องการหายใจเท่าใดนัก ถือว่า เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ เพราะเมื่อเกิดมา ใครๆก็หายใจได้โดยอัตโนมัติ จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการหายใจมากนัก หารู้ไม๊ว่า จะเกิดผลเสียจากการหายใจ ที่ไม่ถูกต้องคือ
1. ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยเกินไป
2. มีอากาศเก่าตกค้างอยู่ในปอดมาก
3. มักจะอ่อนเพลีย มึนงง เหนื่อยง่าย และใจสั่น
4. ร่างกายอ่อนแอ
ผลดีของการหายใจที่ถูกต้อง
1. ร่างกายได้รับออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น
2. มีอากาศเก่าตกค้างอยู่ในปอดน้อย
3. ความเครียด หอบหืด ไซนัส ก็จะบรรเทาลง
4. นอนหลับดีขึ้น
5. ไม่ค่อยอ่อนเพลีย สมองไม่มึนงง ไม่เหนื่อยง่าย และใจไม่สั่น
6. ร่างกายแข็งแรงขึ้น อายุยืน
รายละเอียด

1. ลักษณะการหายใจที่ถูกต้อง คือ หายใจยาวหรือลึก โดยสังเกตหายใจเข้า ท้องจะพอง และหายใจออก ท้องจะยุบ(หายใจเข้า ช้า ๆ สัก 3 วินาที และหายใจออก ช้า ๆสัก 3 วินาที)
2. บริหารกาย (หายใจเข้า-ออก)ยืนตรง ให้เท้าทั้งสองห่างกันพอสมควร (เพื่อมิให้ล้มง่าย)มือทั้งสองเหยียดตรง อยู่ด้านหน้าระหว่างขา หลังมือหันออกไปด้านหน้า จากนั้น ให้หายใจเข้าช้า ๆ พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นช้า ๆไปข้างหน้า จนกระทั่ง มือทั้งสองข้างอยู่เหนือศีรษะ หันฝ่ามือไปด้านหน้าแขนเหยียดตรง และยกมือให้เลยศีรษะไปด้านหลังมาก ๆเท่าที่จะทำได้
3. บริหารท่าผ่อนคลายก่อนนอน ให้นอนหงายบนเตียงนอน ในท่าสบาย ผ่อนคลายทุกส่วนมือและเท้า กางออกเล็กน้อย หงายมือ หลับตา สูดหายใจเข้าออกลึก ๆ ยาว ๆ สัก 20 ครั้ง จะทำให้รู้สึกดีขึ้นและช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นด้วยดร. แอนดรู ไวล์ แพทย์แนวหน้าผู้บุกเบิกการบำบัดรักษาโรคและการดูแลสุขภาพด้วยวิธีการแพทย์แบบผสมผสาน ได้กล่าวถึง ความสำคัญของการหายใจว่า

"ลมหายใจเป็นตัวเชื่อมระหว่างร่างกายกับจิตใจและจิตสำนึกลมหายใจเป็นกุญแจสำคัญที่จะควบคุมอารมณ์ทั้งหลาย และควบคุม
การทำงานของระบบประสาทสั่งการอัตโนมัติ
นอกจากนี้ ลมหายใจยังเป็นดัชนีบ่งถึงการแปรผันในจิตใจต่อเรื่องที่ผ่านเข้ามา หากให้ความสนใจกับลมหายใจ เราจะสามารถเคลื่อนเข้าสู่การผ่อนคลายและเข้าสู่สมาธิโดยอัตโนมัติ

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

10 สารต้านอนุมูลอิสระ

10 สารต้านอนุมูลอิสระ
          1. สารสกัดจากเมล็ดองุ่นได้รับการขนานนามว่าเป็นสารซุปเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์มานานเนื่องจากคุณสมบัติเด่นในด้านการกำจัดอนุมูลอิสระที่สูงกว่าสารแอนตี้ออกซิแดนท์อื่นๆ โดยสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า และวิตามินอี 50 เท่าทั้งยังคงอยู่ในกระแสเลือดได้นานถึง 72 ชม.สามารถป้องกันและลดการทำลายล้างจากสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายเราตลอดเวลาทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในอันเป็นสาเหตุของความเสื่อมและอ่อนแอของร่างกายโดยรวม โดยเฉพาะระบบหลอดเลือด หัวใจผิวหนัง และตา เมื่อรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นเป็นประจำจะทำให้ได้รับสาร OPCs เข้าไปยับยั้งการเสื่อมสลายของคอลลาเจนใต้ผิวหนังจึงช่วยชะลอการเสื่อมของผิวพรรณไม่ให้แก่ก่อนวัยอย่างตรงจุดปริมาณการใช้วันละ 20-60 มก.
          2. ชาเขียวในชาเขียวประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ที่ทรงพลังหลายชนิด โดยเฉพาะสาร EGCG ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงโดยมีฤทธิ์มากกว่าวิตามินอีถึง 20 เท่ามีผลการวิจัยพบว่าชาเขียวสามารถลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะต่าง ๆ ได้ดีโดยเฉพาะมะเร็งปอด, มะเร็งลำไส้, มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับนอกจากนี้ยังช่วยลดความเป็นพิษจากการสูบบุหรี่ เช่น นิโคติน และน้ำมันทาร์เป็นต้นปริมาณการใช้วันละ 300-1,000 มก.
          3. สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศสเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้ดีอีกชนิดหนึ่งซึ่งนอกจากประโยชน์ในการแก้ปัญหาเรื่องฝ้าด้วยการควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสีในร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่สมดุลไม่ผลิตเม็ดสีออกมาผิดปกติจนเป็นฝ้า, กระ แล้วยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและสุขภาพร่างกายโดยรวมอีกด้วยปริมาณการใช้ วันละ 75 มก.
          4. โคเอ็นไซน์คิวเท็นมีหน้าที่หลักในกระบวนการสร้างพลังงานในระดับเซลล์ เพื่อให้เซลล์ต่าง ๆของร่างกายทำงานได้อย่างปกติ หากร่างกายขาดโคเอ็นไซม์คิวเท็นถึง 75% ก็อาจเสียชีวิตได้ทั้งนี้เซลล์ที่ต้องการพลังงานสูงและมีความต้องการโคเอ็นไซม์คิวเท็นมากเป็นพิเศษได้แก่ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์สมอง เพื่อให้มีความตื่นตัวเพิ่มทักษะในการจดจำและผ่อนคลายจากความตึงเครียดส่วนเซลล์ผิวหนังต้องการโคเอ็นไซม์คิวเท็นเพื่อช่วยฟื้นฟูความสดใสปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.
          5. แนทเชอรัลเบต้าคาโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอนอกจากประโยชน์ในการบำรุงสายตาและผิวพรรณแล้วเบต้าแคโรทีนยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งที่ปอดจากการสูบบุหรี่จัดลดการก่อเซลล์มะเร็งที่ผิวหนังและทำให้ผิวหนังสามารถต้านทานต่อแสงแดดได้นานยิ่งขึ้นเบต้าแคโรทีนจากธรรมชาติที่สกัดได้จากสาหร่าย D.Salina จะเป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนที่เข้มข้นและปลอดภัยกว่าชนิดทั่วไปที่เป็นเคมีสังเคราะห์ปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.
          6. ลูตินเป็นสารธรรมชาติพบได้มากในพืชผักที่มีสีเขียวเข้ม เช่นผักกาดเขียว ใบหยิก ผักปวยเล้งในชีวิตประจำวันนอกจากจะต้องเผชิญกับรังสียูวีในแสงแดดที่กระทบต่อดวงตาโดยตรงแล้วยังต้องเจอกับแสงจ้าจากเครื่องคอมพิวเตอร์และทีวีวันละหลายชั่วโมงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เซลล์ในตาอ่อนแอหรือเสื่อมสภาพและตาบอดได้ซึ่งการรับประทานลูตินจะเป็นสารอาหารที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของจุดรับภาพและจอประสาทตาได้ดีเพราะมีส่วนรวมในการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ ที่สำคัญปริมาณการใช้ วันละ 6-20 มก.
          7. กรดอัลฟ่าไลโปอิคสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาตินี้ทำหน้าที่สำคัญ ๆ หลายอย่างในร่างกายการใช้เป็นอาหารเสริมจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยปรับปรุงกระบวนการเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงานจึงช่วยป้องกันและบรรเทาโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานได้ดีปริมาณการใช้ วันละ 50-200 มก.
          8. สารสกัดจากใบแปะก๊วยฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบแปะก๊วยเป็นผลมาจากสารในกลุ่มฟลาโวนไกลโคไซด์ที่มีอยู่กว่า 20 ชนิดในใบแปะก๊วย ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ทั้งนี้นอกจากคุณสมบัติอันโดดเด่นในการป้องกันความเสื่อมของเซลล์สมองและช่วยบำรุงสุขภาพสมองอย่างมีประสิทธิภาพจนเป็นที่ยอมรับทั่วโลกแล้วนั้นคุณสมบัติในการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตทั่วร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สมองยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันได้อย่างตรงจุดเช่นกันปริมาณการใช้ วันละ 40-80 มก.
          9. วิตามินซีนอกจากประโยชน์ในการเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหวัดและบรรเทาอาการภูมิแพ้แล้ว วิตามินซียังช่วยสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณ คลายความเครียด ความอ่อนเพลียแก้สภาวะการเป็นหมันในผู้ชาย โดยช่วยเพิ่มความแข็งแรง และปริมาณของตัวอสุจิอีกด้วยปริมาณการใช้ วันละ 1,000-4,000 มก.
          10. วิตามินอีช่วยในเรื่องการบำรุงผิวพรรณป้องกันโรคหัวใจและการอุดตันของเส้นเลือดในหัวใจทั้งยังช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆการรับประทานวิตามินอีในระยะยาวยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากและลดอัตราการตายของผู้ชายที่สูบบุหรี่จัดปริมาณการใช้ วันละ 200-400 มก

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อาหารแสลง ห้ามกินเมื่อป่วย....





อาหารแสลง คือ อาหารที่จะทำให้อาการป่วยของโรคนั้นๆ ทรุดหนักขึ้นเมื่อเราทาน อาหารแสลง นั้นเข้าไป ฉะนั้นเมื่อเวลาที่เราเป็นโรคอะไรสักอย่างก็มักจะมีการห้ามทาน อาหารแสลง นั้นๆ ขึ้นมาเพื่อไม่ให้โรคนั้นเป็นหนักขึ้นหรือรุกรามไปมากกว่าที่เป็นอยู่นั้น เองค่ะ และวันนี้เราก็มีคำแนะนำเกี่ยวกับ อาหารแสลงห้ามกินเมื่อป่วย อีกด้วยค่ะ ซึ่ง 10 โรคต่อไปนี้จะห้ามอาหารแสลงอะไรบ้างก็มาดูกันได้เลยค่ะว่าอาหารแสลงของแต่ละ โรคนั้นมีอะไรกันบ้างเอ่ยที่ห้ามกิน


“อาหารแสลง” ห้ามกินเมื่อป่วย

1. เป็นไข้หวัด มีไข้สูง
     ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมากๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก จะทำให้เกิดความร้อนสะสมเปรียบเสมือนอาหารเชื้อเพลิงหรือเป็นการเติมน้ำมัน เข้าไปในกองไฟ


2. โรคกระเพาะ
     ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสมทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและเป็นอาหารที่ย่อยง่าย


3. โรคความดันเลือดสูง
     ควรหลีกเลี่ยงอาหารมันอาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกายและความชื้นก็มีผลก็ ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูงนอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไย ขนุน ทุเรียน


4. โรคตับและถุงน้ำดี
     หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่าตับและถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลง และเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง


5. โรคหัวใจและโรคไต
     ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดเพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำการไหล เวียนเลือดจะ ช้าทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยงเพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงาน และหัวใจก็ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน


6. โรคเบาหวาน
     หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานหรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด


7. นอนไม่หลับ
     หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้ไม่ง่วงนอนหรือนอนไม่หลับสนิท


8. โรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก
     หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทะให้ท้องผูก หลอดเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ


9. ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด
     ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาหารผิวหนังกำเริบ


10. สิวหรือต่อมไขมันอักเสบ
     งดอาหารเผ็ดและมันเพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะ อาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนังขนตามร่างกายทำให้เกิดสิว

10 เคล็ดลับตื่นเช้าอย่างอารมณ์ดี


1. จัดการงานบ้านให้ดีล่วงหน้าตั้งแต่ตอนเย็น เพื่อเตรียมพร้อมรับเช้าวันใหม่ เช่น เตรียมชุดทำงานให้พร้อม เตรียมของที่จำเป็นต้องนำติดตัวไปด้วยเพื่อกันลืม
2. เตรียมตกแต่งห้องด้วยของสวยๆ งามๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งแรกที่ได้เห็นในตอนเช้า ลองหาแจกันดอกไม้ เทียนหอม ภาพวาดสวยๆ มาวางในห้อง
3. จัดเตียงให้อยู่ในที่ที่แสงแดดส่องถึงได้ในตอนเช้า เพราะช่วยให้กลไกในสมองตอบสนองต่อแสง ทำให้กระปรี้กระเปร่า
4. วางโคมไฟไว้ในที่ที่มือเอื้อมไปปิดเปิดถึงจะช่วยตั้งนาฬิกาชีวภาพในร่างกายได้ เพราะแสงจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย ทำให้ตื่นนอนตรงเวลาตามที่ตั้งใจ
5. เลี่ยงความเครียดก่อนจะเข้านอน เช่น ไม่ดูข่าวความรุนแรงก่อนเข้านอน
6. ก่อนนอนใช้เวลาสองสามนาทีเขียนบันทึกประจำวัน โดยเขียนความรู้สึกทุกอย่างที่ทำให้มีความสุขและรู้สึกดีตลอดวันนั้น เรื่องเหล่านี้จะทำให้หลับไปอย่างมีความสุข
7. เข้านอนตามเวลาอันสมควร ไม่นอนดึกจนเกินไป
8. ห้องนอนต้องมืดพอที่จะนอนหลับสนิท สำหรับคนที่มีปัญหาการนอน หรือนอนหลับยาก แสงแม้น้อยนิดก็ทำให้นอนไม่หลับได้
9. ยิ้มทุกครั้งที่ตื่นนอนตอนเช้า เพราะการยิ้มเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอฟิน ซึ่งช่วยให้กายใจผ่อนคลายและมีความสุข
10. ทำกิจกรรมหลังตื่นนอน โดยแบ่งเวลา 10-20 นาที ทำอะไรให้กับตัวเอง เช่น ฝึกโยคะสัก 2-3 ท่า ออกกำลังกายด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ หรือสวดมนต์
อยากตื่นรับเช้าวันใหม่ที่สดใสกว่าเดิม ต้องลองเปลี่ยนมาทำตามเคล็ดลับเหล่านี้ดูค่ะ

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับรักษาสิวในแบบชีวจิต

5 เคล็ดลับสวยใสไร้สิวแบบชีวจิต
 เกร็ดสุขภาพฉบับนี้เรามี 5 เคล็ดลับดีๆ กับการรักษาสิวด้วยตัวคุณเองในแบบชีวจิตมาฝากกันค่ะ
1. ปรับอาหารการกินด้วยสูตรชีวจิต ให้ถูกต้อง ไม่ควร รับประทานแป้งข้าวและของหวานที่ทำจากน้ำตาลทรายขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อกโกแลต รวมทั้งอาหารประเภทมันๆ และของ ทอดทั้งหลาย ควร หันมารับประทานผักและผลไม้ให้มาก เพราะมีวิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน แร่ธาตุโครเมียม และคลอโรฟิลล์ เพื่อช่วยปรับ สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท อาหารทะเล เป็น ต้น เพื่อช่วยลดการอักเสบและการติดเชื้อของสิว นอกจากนี้ยังทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่แทนเซลล์ผิวหนังที่เสีย ไป
2. ใช้ดีท็อกซ์ช่วยกำจัดท็อกซิน เพราะการเป็นสิว ย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีเจ้าท็อกซินหรือพิษเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น การทำดีท็อกซ์ ตามหลักชีวจิต เพื่อช่วยขจัดพิษในร่างกาย หลังจากทำดีท็อกซ์เสร็จ ก็เข้าห้องอบไอน้ำหรือ ซาวน่า เพื่อขับพิษออกทางผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง ค่ะ
3. ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่มีน้ำตาล เช่น ลูกใต้ใบ มะตูม หรืออื่นๆ ตามตำราชีวจิต เพราะน้ำจะเป็นตัวพาของเสียสิ่งสกปรกออกไป และจะได้ ประโยชน์จากสมุนไพรแต่ละชนิดอีกด้วย
4. ออกกำลังกายจนเหงื่อออก ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี และทำให้ต่อมไขมันเปิดและพาหัวสิวให้ละลายง่าย ไม่เกิดสิว แต่ที่สำคัญ อย่าลืม ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งหลังการออกกำลังกาย
5. ทำจิตใจให้สงบ มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส ความผ่อนคลายนี้จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งทำให้เม็ดเลือดขาวใน ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น